วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 22 กันยายน


      สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน      


          การเรียนที่ดีและประสบความสำเร็จล้วนเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญที่ผู้เรียนปรารถนา แต่การเรียนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ถือเป็นเรื่องยาก หากผู้เรียนเพียงแต่อยากเป็นคนเก่งแต่ไม่ลงมือเรียนรู้อย่างเต็มที่ ในปัจจุบันนี้มีแหล่งเรียนรู้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายที่สนับสนุนทางด้านการศึกษา มีการประดิษฐ์ คิดค้น พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนได้ ซึ่งการเรียนภาษาที่ได้ผลดี คือ การกลับมาทบทวนความรู้หลังจากเรียนรู้ในห้องเรียนพร้อมทั้งค้นคว้าเพิ่มเติมให้เกิดความรู้ใหม่ การเรียนนอกห้องเรียนอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม สะดวกสบาย ง่ายต่อการเรียนรู้ และยังทำให้สนุกเพลิดเพลิน นั่นก็คือการเรียนจากเว็บไซต์ YOUTUBE โดยจะมีวิดีโอการศึกษาให้เลือกจำนวนมาก ซึ่งตัวดิฉันเองก็ได้เลือกที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองด้านภาษาด้วยวิธีนี้เกี่ยวกับเรื่อง If Clause ที่ได้เรียนแล้วในห้องเรียนแต่ยังไม่เข้าใจ จึงเรียนจากวิดีโอเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น         
            จากการเรียนในชั้นเรียนทำให้ฉันเข้าใจว่า ประโยค If-clause If Clauses หรือ Conditional Sentences คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วยconjunction “if” ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clause และประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า main clause เช่น If it rains , I shall stay at home. อธิบายได้ว่า If it rains เป็น If-clause และ I shall stay at home เป็น main clause ซึ่งสามารถ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ         
           1. TYPE ONE เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคตแสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible condition) คือ ประโยคเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน เวลาพูด If-clause แบบที่ 1 นี้ ส่วนใหญ่โอกาสจะเป็นไปได้สูง เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบัน ดังนั้น tense ที่จะมาเกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้น present simple tense เพราะมันเป็น tense ที่บอกข้อเท็จจริง present simple จะไปใช้ในประโยคที่มี if หรือประโยคเหตุ ส่วนประโยคผลเราใช้ เป็น future simple โครงสร้างเป็นแบบนี้If + Present simple, Subject + will + V1 เช่นIf I finish my work before 6 o’clock, I will pick you up.What will you do if she refuses your proposal?If water is heated, it boils.If ice is heated, it melts.If a metal is heated, it expands.If it is fine, Jim usually walks to school.If you hurt dogs, they bite you.ในส่วนของประโยคที่มี if อาจจะใช้ present tense อื่นๆก็ได้ เช่น present continuous ตามแต่สถานการณ์ เช่น If you’re trying to be normal, you will never know how amazing you can be.       
            2. TYPE TWO เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (impossible condition) คือ ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน พูดง่ายๆคือสิ่งที่เราสมมติหรือมโนขึ้นมาเอง เช่น ถ้าฉันเป็นเธอ หรือ ถ้าฉันเป็นนก หรือ ถ้าฉันมีเงินพันล้าน อะไรประมาณนี้ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากมากๆ ก็เข้าข่ายแบบที่ 2 นี้ ส่วน tense ที่จะใช้ใน If-clause แบบที่ 2 นี้ก็คือ past simple ที่ใช้ tense ที่เป็นอดีต เพราะเหตุการณ์นี้เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็น present simple แต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไป จึงใช้ past simple แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง โครงสร้างของ If-clause แบบที่ 2 คือ If + past simple , Subject + would + V1 เช่นIf I had a private jet, I would go to Switzerland.If you were the Prime Minister, what would you change about this country?มีข้อยกเว้นนิดนึงตรงที่ ถ้าหากว่าประธานเป็น I, she, he กริยาจากที่เคยใช้ I was, she was, he was ก็จะเปลี่ยนเป็น I were, she were, he were เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้น หรือจำง่ายๆว่าไหนๆมันก็เป็นเรื่องสมมติแล้ว เราก็สมมติให้ were ใช้กับ I, she, he ได้ก็แล้วกัน เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เราพูดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง เช่น If Leon’s mother were alive, she would still be a professor in Oxford University.    
          3. TYPE THREE เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต คือ ประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต หรือเป็นการสมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น หรือถ้ามันเกิดขึ้นก็สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้น Tense ที่ใช้เราจะใช้ past perfect tense  โครงสร้างหน้าตามันเป็นแบบนี้ If + past perfect, Subject + would have + V3 เช่นIf I had set my alarm clock, I wouldn’t have got up late.I and Jack wouldn’t have known each other if he hadn’t been my brother’s friend.You didn’t go to the party last night.You didn’t meet your girlfriend.ซึ่งประโยค If-clause If Clauses หรือ Conditional Sentences นี้จะขึ้นต้นด้วยประโยค If-Clause หรือ Main Clause ก็ได้ เช่น If I had some money, I would go abroad. หรือ I would go abroad if I had some money. เป็นต้น
           นอกจากการเรียนในชั้นเรียนแล้ว ดิฉันก็ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทบทวนความรู้และให้ความรู้เพิ่มเติมอีก ทำให้ได้รู้เกี่ยวกับการละรูปของ If Clause แต่ละประเภทอีกด้วย        
            1. การละรูป if ใน Type 1 สามารถทำได้ โดยใช้ should แทน ifa) If you see Katty , tell her I want her. = Should you see Katty , tell her I want her.b) If the weather is too bad, we won’t go for a picnic. = Should the weather be too bad , we won’t go for a picnic. (หลัง should ตามด้วย V1)c) If you should find it, please send it to me. = Should you find it , please send it to me.ประโยคที่ใช้ if และ should ดังกล่าวนี้มีความหมายเหมือนกัน แต่ประโยคที่ใช้ should นิยมใช้ในภาษาเขียน       
              2. การละรูป if ใน Type 2 จะใช้กับกริยา were– If I were you, I would go to study abroad. =Were I you, I would go to study abroad.– If I were a bird, I would fly all over the world. = Were I a bird, I would fly all over the world.เราใช้ were กับประธานที่เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น if I were , if he were , if she were ,if they were , เป็นต้น เพราะเป็นการสมมติจากจินตนาการ แต่ถ้าใช้ was กับประธานเอกพจน์ก็ได้ เช่นกันเช่น If I was, ect….นอกจาก would ที่ใช้ใน main clause แล้ว ยังมีกริยาช่วย should , might , could ที่สามารถใช้ใน conditional Type Two นี้ได้อีก แต่ความหมายแตกต่างกันออกไป– If she came, I should/would see her. (แสดงผลที่จะเกิดขึ้นตามสมมติ certain result)– If she came, I might see her. (แสดงการคาดคะเน possibility)– If it stopped snowing, he would go out. (Certain result)– If it stopped snowing, you could go out. (Permission, ability)   
             3. การละรูป if ใน Type 3 ความเป็นจริงในอดีตความเป็นจริงในอดีต : I didn’t pass the exam last semester. I didn’t study hard.สิ่งสมมุติ : I would have passed the exam last semester if I had studied hard.= Had I studied hard, I would have passed the exam last semester.ความเป็นจริงในอดีต : My wife was so angry with me. I forgot that yesterday was her birthday.สิ่งสมมุติ : My wife wouldn’t have been so angry with me if I hadn’t forgotten that yesterday was her birthday.=Had I not forgotten that yesterday was my wife’s birthday, she wouldn’t have been so angry with me.ความเป็นจริงในอดีต : I had an accident last year . I drove the car very fast.สิ่งสมมุติ : I wouldn’t have had an accident last year if I hadn’t driven the car very fast.= Had I not driven the car so fast, I wouldn’t have had an accident last year.)        
           จากการศึกษาทำให้ดิฉันได้วิธีการจำว่า If-clause แต่ละแบบใช้ tense อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ แบบที่ 1 เป็นไปได้ในปัจจุบัน ใช้ present simple ธรรมดา แต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องสมมติขึ้นมา ฉะนั้นเราจะถอย tense ไปหนึ่ง tense เพื่อแสดงว่ามันคือการสมมติ คือ แบบที่ 2 เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน จาก present เราเปลี่ยนเป็น past simple และ แบบที่ 3 เป็นไปไม่ได้ในอดีต จากคำว่า อดีตมันควรจะเป็น past simple เราก็ถอยไปเป็น past perfect และจากการศึกษาเพิ่มเติมได้รู้เกี่ยวกับการละรูปของ IF-CLAUSE อีกด้วย ซึ่งการเรียนในห้องเรียนและศึกษาเพิ่มเติมเองในครั้งนี้ทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดความรู้และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องแหละเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เกิดความรู้และความสนุกสนานอีกด้วย


      สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน      

  
          ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วในความสำคัญของภาษาอังกฤษที่กำลังทวีคูณยิ่งขึ้นอยู่ในตอนนี้และรวมถึงในอนาคตนี้อีกด้วย ทุกคนจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเพื่อติดต่อสื่อสารกับต่างชาติได้ แต่ก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับระดับภาษาของภาษาที่ต่างคนย่อมมีต่างกันนั้น หลายคนยังคงหงุดหงิดกับระดับภาษาของตนเอง ยังพูดไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่อง เกิดปัญหาการติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษทั้งที่เรียนมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว อาจจะแก้ปัญหาโดยการเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ สถาบันสอนภาษา สถาบันกวดวิชาหรือจ้างครูพิเศษมาเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากเรียนจบหลักสูตร หยุดการเรียนจากเรียนนั้น ก็จบการเรียนรู้หากผู้เรียนไม่ศึกษาต่อด้วยตนเอง อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี ประหยัด และเรียนรู้ได้ตลอดเวลาคือการฝึกฝนด้วยตนเองจากสื่อและช่องทางต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในยุคสมัยนี้ที่ถือเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่า โลกไร้พรมแดน ไปแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็แล้วแต่มีเพียง 4 ทักษะหลัก ๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ก่อนทำการศึกษาเราควรรู้ระดับภาษาของตนเองก่อนว่ามีภาษาดีไม่ดีมากน้อยแค่ไหน แล้วตั้งเป้าหมายของการเรียนรู้ว่าเราจะพัฒนาทักษะด้านไหนก่อน ต่อไปก็เพียงแค่เริ่มลงมือเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ตามลำดับ ซึ่งตัวฉันก็ได้ใช้วิธีในการเรียนภาษาฝึกทักษะต่าง ๆ ไปที่ละทักษะโดยเริ่มจากทักษะการฟังและการอ่าน เพราะการฟังและอ่านเป็นทักษะการรับรู้เป็นการเรียนรู้ที่ง่ายกว่าทักษะอื่น ๆ และเป็นการปูพื้นฐานความรู้ไปสู่ทักษะอื่นที่ยากกว่านี้อีกด้วย    
          การฟังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ในสัปดาห์นี้ ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟังจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า What Do You Mean? ของศิลปิน  Justin Bieber  ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ฟังง่าย เพราะเนื้อเพลงนั้นเป็นคำศัพท์ที่ไม่ยาก ทำให้ง่ายต่อการฟังและทำความเข้าใจ ในวันแรก ดิฉันเริ่มจากการเปิดเพลงและนั่งทำการบ้านไปด้วย เพื่อฟังหลาย ๆ ครั้งให้เกิดความคุ้นเคย จะสามารถทำให้เราจำเนื้อเพลงได้ดี หลังจากนั้นมานั่งดูมิวสิกวิดีโอ เปิดดูเนื้อเพลงและฝึกร้องตาม ในวันถัดมา ฉันได้เปิดเพลงนี้ฟังแล้วหัดร้องตามอีกครั้ง โดยดูเนื้อเพลง และฝึกแปลคำศัพท์ตามเนื้อเพลงโดยความเข้าใจของตนเองแล้วหลังจากนั้นก็ดูว่าตนเองแปลถูกมากน้อยเพียงใด ดิฉันได้ฝึกฟัง เรื่อง Halloween จาก http://www.listenaminute.com/h/halloween.html. ซึ่งเหตุผลที่ฟังเรื่องนี้เพราะกำลังเรียนเรื่อง Halloween Day และกำลังเตรียมจัด Halloween  Party .ในรายวิชาของ อาจารย์ Charles M. Fisher ซึ่งในเรื่องที่ฟังค่อนข้างเข้าใจง่าย แต่พูดค่อนข้างเร็วทำให้ฟังสำเนียงไม่ค่อยชัด เเต่ฉันฟังอยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง ทำให้เริ่มจับใจความได้ ในเว็บไวต์นี้จะมี passage มาให้อ่านด้วย หากฟังไม่ชัดก็สามารถมาอ่านตามจาก passage นั้นได้ นอกจากนี้จะมีการ blank ที่ว่างคำต่างๆเอาไว้ให้เรานำคำที่เราได้จากการฟังมาเติมลงไปให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการทดสอบการฟังของเราว่ามีความเข้าใจและฟังได้ถูกต้องเพียงใดอีกด้วย อีกทั้งยังแบบฝึกทักษะด้ายต่าง ๆ อีกมากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเขียน การเติมคำ ตั้งคำถาม การเรียงคำศัพท์ และอื่น ๆ อีกมาก      
          หลักจากที่ฉันได้ฝึกทักษะการฟังไปแล้วจึงลองมาฝึกทักษะการอ่าน ซึ่งอ่านได้มากหรืออ่านได้น้อยนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของตัวบุคคลจริง ๆ ทุกครั้งที่อ่านจะได้ความรู้อะไรใหม่ ๆ เสมอ สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษไหน ๆ ฉันก็จะเริ่มอ่านเเล้ว ก็เลือกอ่านสิ่งที่ได้ประโยชน์ด้วย สำหรับตัวฉันเองเป็นคนที่ยังรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษน้อยจึงเลือกอ่านบทความที่มีเนื้อหาสั้น ๆ คำศัพท์ง่าย ๆ ซึ่งดิฉันได้เลือกอ่านเรื่อง Bomb in Bangkok จากเว็บไซต์ http://www.bangkokpost.com/hot-topics/658696/bomb-in-bangkok ซึ่งเรื่องที่เลือกอ่านนี้เป็นเรื่องการวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ซึ่งเป็นข่าวที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ทำให้ฉันเข้าใจข่าวภาษาอังกฤษง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวีดีโอคลิปบันทึกภาพเหตุการณ์ให้ชมด้วย จากการอ่านทำให้ได้รู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นและยังทำให้รู้สถานการณ์บ้านเมืองอีกด้วย เรื่องที่สองที่ฉันได้อ่านคือเรื่อง Bangkok school closes due to influenza จากเว็บไซต์ http://thai.langhub.com/th-en/learn-english-with-news/382-bangkok-school-closes-due-to-influenza เป็นข่าวโรงเรียนในกรุงเทพปิดเนื่องจากไข้หวัดใหญ่ มีคำศัพท์ยากบ้างบางคำ แต่ก็สามารถเดาคำศัพท์ได้ ในข่าวนี้จะมี Passage เป็นภาษาอังกฤษมาให้อ่า่น แล้วด้านล่างจะมีแปลภาษาไทยและคำศัพท์ยากไว้ให้แล้วด้วย  เรื่องที่สามที่อ่านคือเรื่อง Cambodia celebrates colourful 'ghost festival' จากเว็บไซต์ http://www.bangkokpost.com/news/asia/711536/cambodia-celebrates-colourful-ghost-festival เป็นข่าวการฉลองเทศกาลเกี่ยวกับผีในเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สามารถอ่านและแปลความหมายได้ง่ายเพราะคำศัพท์ในข่าวเป็นศัพท์พื้นฐานส่วนมาก      
         จากการฝึกทักษะการฟังและทักษะอ่านในครั้งนี้ และจากการสำรวจตัวเองนั้นพบว่าหลักจากการเรียนรู้ ดิฉันสามารถพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถฟังสิ่งต่างๆ ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง ฟังบทความต่าง ๆ ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในทักษะการอ่าน ทำให้อ่านบทความ อ่านข่าวสารต่าง ๆ ได้เข้าใจ สามารถแปลข่าวสารและจับใจความสำคัญของข่าวสารนั้นได้ เกิดความเพลิดเพลินกับการดูหนัง ฟังเพลง และการอ่านต่าง ๆ ไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและเกิดความสุขในการเรียนรู้ด้วยตนเองและรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกด้วย อีกทั้งการฝึกทักษะการฟังและการอ่านนี้นอกจากพัฒนาทักษะทั้งสองนี้แล้ว ยังเป็นทักษะพื้นฐานในการต่อยอดความรู้ ฝึกทักษะอื่นอีกด้วย ซึ่งการฝึกทักษะทั้ง 4 เหล่านี้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ใช้อินเตอร์เน็ตในการศึกษาค้นคว้า ซึ่งอิตเตอร์เน็ตนี้ถือเป็นแหล่งเรียนเรียนรู้ที่ดีมากอย่างหนึ่ง มีเนื้อหามาก ครอบครุมทุกเรื่องราว สามารถค้นหาทุกเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และมีข้อมูลให้เลือกเยอะอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนมีตัวเลือกและช่องทางในการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ ได้ในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงการศึกษาภาษาอังกฤษและฝึกทักษะต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าการเรียนและฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดหากมีความสนใจและตั้งใจจริง ดังนั้นเราจึงควรศึกษาและฝึกฝนการใช้ภาษากฤษให้เข้าใจเพื่อที่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ในการติดต่อสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น