วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Learning Log 10

การแปลบันเทิงคดี
The Translation of Literary Work

บันเทิงคดี หมายถึง เรื่องสมมติที่สร้างขึ้นมาอย่างมีจินตนาการและอารมณ์ มุ่งให้ความเพลิดเพลินเป็นใหญ่ แต่ก็ให้ความรู้ด้วย มีหลายรูปแบบ เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร ฯลฯ บันเทิงคดีจึงเป็นงานเขียนที่ผู้เขียนมีเจตนานให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่านโดยมีเกร็ดความรู้ ข้อคิด คติธรรม และประสบการณ์ชีวิตแทรกอยู่ในเรื่องนั้น ๆ
      1. องค์ประกอบของงานเขียนบันเทิงคดี
บันเทิงคดีเป็นงานเขียนที่มีรูปแบบแตกต่างจากสารคดี ทั้งในด้านเนื้อหาและองค์ประกอบของภาษา อาจจะนำเสนอทั้งในเนื้อหาที่มีความจริงบ้าง สอดแทรกทัศนคติบ้าง มีจุดประสงค์เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ดังนั้นบันเทิงคดีจึงเป็นการถ่านทอดสิ่งที่เป็นจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการถ่ายทอดจินตนาการของผู้เขียนผสมผสานกับความจริง ซึ่งจะมีภาษาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้แปลจึงต้องศึกษาและฝึกฝนทักษะการแปลอย่างจริงจังเพื่อสามารถเข้าใจเนื้อหาอย่างถูกต้อง
ในการแปลบันเทิงคดีผู้แปลต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ องค์ประกอบด้านภาษา (Language element) และองค์ประกอบที่ไม่ใช่ภาษา (Non - Language element) หมายถึงอารมณ์และท่วงทำนองของงาน องค์ประกอบด้านอารมณ์และท่วงทำนองจะสะท้อนออกในองค์ประกอบของภาษา ดังนั้นผู้แปลต้องใส่ใจในการแปลเป็นอย่างมาก
      2.องค์ประกอบด้านภาษา
                องค์ประกอบด้านภาษาที่เกี่ยวข้องกับการแปลงานบันเทิงคดีสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม  ได้แก่ การใช้สรรพนามและคำเรียกบุคคล (form of address) การใช้คำที่มีความหมายแฝง (connotation) และภาษาเฉพาะวรรณกรรม (figurative language)
-                   ภาษาที่มีความหมายแฝง (connotation)  คือคำศัพท์ที่มีความหมายตรงตัวหรือความหมายตามตัวอักษร แต่มีคำศัพท์จำนวนมากซึ่งนอกจากมีความหมายตรงตัวแล้วยังมีความหมายแฝงอีกด้วย ผู้แปลต้องใส่ใจต่อคำศัพท์ทุกตัวเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการแปล ในการแปลนี้ผู้แปลไม่ควรใช้พจนานุกรม 2 ภาษาเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้พจนานุกรมภาษาเดียว และค้นคว้าเพิ่มเติมอีกด้วย
-                   ภาษาเฉพาะวรรณกรรมหรือโวหารภาพพจน์ มีรูปแบบภาษาเฉพาะหลายชนิด ซึ่งผู้แปลจะต้องรอบรู้และนำมาใช้อย่างเหมาะสม มีลักษณะคือการสะท้อนวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ลงไปในตัวภาษา เชื่อโยงไปยังแง่มุมของวัฒนธรรมและอารยธรรมของมนุษยชาติโดยการถ่ายทอดทางภาษา ผู้แปลต้องศึกษารายละเอียดของวัฒนธรรมภาษาทั้งในภาษาไปและภาษามาอย่างลึกซึ้ง  สามารถแบ่งอออกเป็น 2 รูปแบบได้ดังนี้
1. รูปแบบของโวหารอุปมาอุปไมย คือ การสร้างภาพพจน์โดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อชี้แจง อธิบายหรือเน้นสิ่งที่กล่าวถึงให้ชัดเจนและเห็นภาพพจน์มากขึ้น  อุปมาอุปไมยทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีองค์ประกอบทางไวยากรณ์อย่างชัดเจนตายตัว โครงสร้างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้แปลต้องวิเคราะห์การใช้โวหารในต้นฉบับให้ถูกต้องว่าเป็นประเภทไหน หากเป็นการสมมุติที่อาจจะเกิดขึ้นได้  ต้องใช้โครงสร้างประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 (conditional sentence type 1) แต่หากโวหารเป็นการเปรียบเทียบหรือสมมุติสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นหรือเป็นจริงได้ ผู้แปลจะต้องเลือกใช้โครงสร้างประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2  (conditional sentence type 2 )
2.  รูปแบบของโวหารอุปลักษณ์ (metaphor) หมายถึงการเปรียบเทียบความหมายของสองสิ่งโดยนำความเหมือนและไม่เหมือนของสิ่งที่จะเปรียบเทียบ ซึ่งโวหารอุปลักษณ์จำนวนมากของแต่ละภาษาจะมีลักษณะเฉพาะในภาษานั้นๆ การแปลจึงต่างจากการแปลทั่วๆไป
3. การแปลโวหารอุปมาอุปไมยและโวหารอุปลักษณ์ เป็นที่ปากกฎในภาษาไทยและอังกฤษ ผู้แปลต้องคำนึงถึงความจริงบางประการที่เกี่ยวกับภาษา ซึ่งภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารซึ่งถ่ายทอดความหมายและวัฒนธรรมของชาตินั้น ที่ประกอบเป็นสังคมทั้งเล็กและใหญ่ และยังต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของวัฒนธรรมของชาติ 2 ชาติที่ต่างกันด้วย ผู้แปลจึงต้องปรับโวหารให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม โดยมีหลักปฏิบัติดังนี้
   - เมื่อรูปแบบของภาษาสอดคล้องกันและความหมายเหมือนกัน ผู้แปลต้องแปลตามตัวอักษรเท่านั้น
   - หากโวหารไม่มีความสำคัญต่อเนื้อหาของงานเขียน สามารถตัดทิ้งโดยไม่ต้องแปล
   - เมื่องานเป็น authoritative text ผู้แปลควรแปลตามตัวอักษรโดยใส่หมายเหตุของผู้แปลเพื่อชี้แจงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น หรืออธิบายความหมาย
  - สืบค้นโวหารที่ปรากฏในงานเขียนชนิดต่าง ๆ ในภาษาแปล
                อย่างไรก็ตามในการแปลสำนวนโวหารทั้งสอบประเภทนี้ เราจะพบว่าการเปรียบเทียบส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในภาษาต้นฉบับเสมอ การยึดหลักการแปลในข้อ a จึงเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นในการแปลอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์ต่างๆ นอกจากหลักการข้อ a-c แล้วผู้แปลยังจำเป็นต้องสืบค้นจากเอกสารเพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อศึกษาว่ามีโวหารที่มีความหมายเหมือนกับโวหารในภาษาต้นฉบับที่ต้องหารแปลหรือไม่ หากไม่มีต้องศึกษาต่อว่าหมายถึงสิ่งใด ควรแปลหรือตัดทิ้งได้หรือไม่ เพื่อให้ได้งานที่สมบูรณ์และถูกต้องตามต้นฉบับมากที่สุด

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Learning Log 9

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด
Relations between ideas

ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดเป็นอีกประเภทของความรู้โดดเด่นในฐานะที่เกิดขึ้นจากแนวความคิดบริสุทธิ์และตรรกะการดำเนินงานหรือความสัมพันธ์ที่เป็นประเภทของความจริงที่ว่าเป็นจริงหรือเท็จของทั้งสองสิ่ง ซึ่งมีวิธีเขียน 3 แบบ ดังนี้
      1. The dotted line (……) แสดงถึงการเขียนความคิดหลักในประโยค thesis statement เพื่อเชื่อมโยงประเด็นไปยังชื่อเรื่อง
      2. The separated lines (-----) แสดงถึงการเขียนใจความสำคัญของแต่ละประโยคในเนื้อเรื่องเพื่อเชื่อมโยงไปยังประโยค thesis statement ตลอดจนถึงใจความสำคัญอื่นๆด้วย
      3. The straight lines (¯¯¯¯) แสดงถึงการเขียนในแต่ละประเด็นหลักให้เชื่อมโยงไปยังรายละเอียดย่อย
ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหรือแก่นเรื่องนี้สามารถสรุปหลักการเขียนอย่างง่ายได้โดย ขั้นตอนแรกจะเป็นการกำหนดหัวข้อ ชื่อเรื่อง จากนั้นให้เขียน thesis statement  ที่สอดคล้องกับชื่อเรื่องและครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด จากนั้นเริ่มเขียน ใจความสำคัญที่ 1 และส่วนขยายเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นรายละเอียดย่อยของใจความที่ 1 หลังจากนั้นก็เขียน ใจความสำคัญที่ 2 และ 3 พร้อมกับส่วนขยายเพิ่มเติมของในแต่ละหัวข้ออย่างละเอียด ชัดเจน และครอบคลุม ไม่หลุดประเด็น

ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหรือแก่นเรื่องนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาความคิดหลัก ตรรกะเหตุผล และ การเชื่อมโยงกันในแต่ละบทความ ความสัมพันธ์ก็เหมือนกับการโชว์ระดับจากใหญ่ไปเล็ก thesis statement  ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชื่อเรื่อง ใจความสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ thesis statement  และการถามตอบทั่วไป หรือ ที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้น ใน thesis statement ความคิดเสริมและข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถอธิบาย ยกตัวอย่าง และ หลักฐาน ในการพัฒนาประเด็นสำคัญต่อไปได้

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Learning Log 8

การถ่ายทอดตัวษร
Transliteration

การถ่ายทอดตัวอักษร เป็นระบบในการเขียนเสียงพูดของมนุษย์จากภาษาหนึ่ง เป็นระบบตัวอักษรในอีกภาษาหนึ่งตามกฎที่วางไว้ เพื่อให้คงเสียงของภาษาต้นฉบับ การถอดเสียงนี้จะแตกต่างกับการทับศัพท์แบบถอดอักษร ซึ่งเปลี่ยนระบบตัวอักษรจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง เพื่อให้คงรูปของตัวอักษรมากที่สุดที่เป็นไปได้  ซึ่งหมายถึงการนำคำในภาษาหนึ่งมาเขียนด้วยตัวอักษรของอีกภาษาหนึ่งโดยพยายามให้การเขียนในภาษาใหม่นี้ถ่ายทอดเสียงของคำในภาษาเดิมให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้การถ่ายทอดตัวอักษรมีบทบาทในการแปลจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งในกรณีต่อไปนี้
                1 เมื่อในภาษาต้นฉบับมีที่ใช้แทนชื่อเฉพาะของสิ่งต่างๆเช่นชื่อคนชื่อสถานที่ชื่อภูเขาแม่น้ำหรือแม้แต่ชื่อสถาบันต่างๆ
                2 เมื่อคำในภาษาต้นฉบับมีความหมายอ้างอิงถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมที่ไม่มีในสังคมของภาษาฉบับแปลจึงไม่มีคำเปรียบเทียบได้เช่นคำที่ใช้เรียกต้นไม้ซับและกิจกรรมบางชนิดความคิดในกรณีนี้ พูดเลยอาจแก้ปัญหาได้สองประการคือ (1) ใช้วิธีการให้คำนิยามหรือคำอธิบายที่บอกลักษณะตรงกับคำเดิมนั้นหรือ (2) ใช้ทับศัพท์ตัวอย่างเช่นคำว่าฟุตบอลซึ่งเมื่อถ่ายทอดเป็นอักษรภาษาไทย จะให้คำนิยามว่าลูกกลมกลมที่ทำด้วยหนังในการทำดังนี้ผู้ป่วยควรยึดหลักปฏิบัติในการโทรเสียงของคำดังต่อไปนี้
                                1. ให้อ่านคำนั้นเพื่อให้รู้ว่าคำนั้นออกเสียงอย่างไรประกอบด้วยเสียงอะไรบ้างแล้วห้าตัวอักษรในภาษาฉบับแรกที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาแล้วเขียนแทนเสียงนั้นๆ
                                2. ภาษาทุกภาษาจะมีเสียงพยัญชนะและตรงกันเป็นส่วนมากและผู้แปลจะหาตัวอักษรมาเขียนแทนได้เลยเช่นการใช้พอพานแทนเสียงแรกในคำว่าพอเป็นต้นแต่ก็จะมีเสียงจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มีอักษรที่แทนเสียงตรงกับในฉบับแปล
                3 เมื่อกำหนดตัวอักษรตัวได้ตัวหนึ่งแผ่นเสียงใดเสียงหนึ่งแล้วให้ใช้ตัวนั้นตลอดไปอย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่แน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทแรกบทเดียวกันต้องใช่รักการถ่ายทอดอย่างเดียวตลอดไป
                4 สำหรับการยืมคำศัพท์มาใช้โดยเขียนลงเป็นภาษาฉบับแปลถ้าคำคำนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายให้วงเล็บพร้อมดื่มในต้นฉบับไว้ด้วย

ตารางเทียบเสียงพยัญชนะ

หมายเหตุ :
1. ในทางสัทศาสตร์ ใช้ h เป็นตัวสัญลักษณ์เพื่อแสดงลักษณะเสียงธนิต (เสียงที่กลุ่มลมพุ่งตามออกมาในขณะออกเสียง) h ที่ประกอบหลัง k p t จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางสัทศาสตร์ดังนี้
- k แทนเสียง ก เพราะเป็นเสียงสิถิล (เสียงที่ไม่มีกลุ่มลมพุ่งออกมาในขณะออกเสียง) kh จึงแทนเสียง ข ฃ ค ฅ ฆ เพราะเป็นเสียงธนิต
- p แทนเสียง ป ซึ่งเป็นเสียงสิถิล ph จึงแทนเสียง ผ พ ภ เพราะเป็นเสียงธนิต ไม่ใช่แทนเสียง ฟ
- t แทนเสียง ฏ ต ซึ่งเป็นเสียงสิถิล th จึงแทนเสียง ฐ ฑ ฒ ถ ท ธ เพราะเป็นเสียงธนิต
2. ตามหลักสัทศาสตร์ ควรใช้ c แทนเสียง จ ซึ่งเป็นเสียงสิถิล และ ch แทนเสียง ฉ ช ฌ ซึ่งเป็นเสียงธนิต ดังที่ใช้กันในภาษาบาลี-สันสกฤต เขมร ฮินดี อินโดนีเซีย และภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษแต่ที่มิได้แก้ไขให้เป็นไปตามหลักสัทศาสตร์ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ไข้วเขวกับการสะกดและออกเสียงตัว c ในภาษาอังกฤษซึ่งคนไทยมักใช้แทนเสียง ค หรือ ซ ตัวอย่างเช่น จน/จิต หากเขียนตามหลักสัทศาสตร์เป็น con/cit ก็อาจจะออกเสียงตัว c เป็นเสียง ค ในคำว่า con และออกเสียง ช ในคำว่า cit ดังนั้นจึงยังคงใช้ ch แทนเสียง จ ตามที่คุ้นเคย เช่น จุฬา = chula , จิตรา = chittra

ตารางเทียบเสียงสระ

หมายเหตุ ::
1. ตามหลักเดิม อึ อื อุ อู ใช้ u แทนทั้ง ๔ เสียง แต่เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเสียง อึ อื กับ อุ อู จึงใช้ u แทน อุ อู และใช้ ue แทน อึ อื
2. ตามหลักเดิม เอือะ เอือ อัวะ อัว ใช้ ua แทนทั้ง ๔ เสียง แต่เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเสียง เอือะ เอือ กับ อัวะ อัว จึงใช้ ua แทน อัวะ อัว และ uea แทน เอือะ เอือ เพราะ เอือะ เอือ เป็นสระประสมซึ่งประกอบด้วยเสียง อึ หรือ อื (ue) กับเสียง อะ หรือ อา (a)
3. ตามหลักเดิม อิว ใช้ iu และเอียว ใช้ ieu แต่เนื่องจากหลักเกณฑ์นี้เสียงที่มี ว ลงท้ายและแทนเสียงด้วย o ซึ่งได้แก่ เอา อาว (ao) , เอ็ว เอว (eo) , แอ็ว แอว (aeo) ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน อิว ซึ่งเป็นเสียง อิ กับ ว จึงแทนด้วย i + o คือ io ส่วนเสียง เอียว ซึ่งมาจากเสียง เอีย กับ ว จึงแทนด้วย ia + o เป็น iao
* ไม่มีคำประสมด้วยสระเสียงนี้ในภาษาไทย


การถ่ายทอดตัวอักษร เป็นระบบหนึ่งในการเขียนเสียงพูดของมนุษย์จากภาษาหนึ่ง เป็นระบบตัวอักษรในอีกภาษาหนึ่งตามกฎที่วางไว้ เพื่อให้คงเสียงของภาษาต้นฉบับ ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษจำเป็นต้องรู้หลักการถ่ายทอดตัวอักษรที่ถูกต้องเพื่อที่จะสามารถนำไปใช้งานได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในงานเขียนต่างๆ เช่น การสะกดชื่อ การตั้งชื่อ การเขียนงานประเภทต่างๆ คำบางคำหากสะกดผิดไปเพียงตัวเดียวก็อาจจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไปทั้งหมดได้ เพราะอาจจะเกิดจากความเคยชินของเราว่าใช้ตัวอักษรนี้ แต่ความจริงอาจจะใช้ตัวนั้นไม่ได้ เพียงแต่มีเสียงอักษรหรือออกเสียงสระคล้ายคลึงกันเท่านั้น  ซึ่งในการถ่ายทอดตัวอักษรนี้ล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใช้ภาษาจำเป็นต้องใช้เรียนรู้หลักการที่ถูกต้องเพื่อนำไปใช้อย่างเหมาะสมต่อไป  

Learning Log 7

Text types

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่นิยมใช้ในการสื่อสารกันอยู่ทั่วโลก ซึ่งผู้คนทั่วโลกใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร ช่วยให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อกันได้รู้เรื่องหรือมีความเข้าใจที่ตรงกัน ปัจจุบันประเทศไทยพัฒนาด้านภาษาอังกฤษโดยการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ซึ่งจะช่วยคนไทยสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ การเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ที่จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การเขียนภาษาอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ ดังนั้นการเขียนภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดนักเรียนควรหันมาใส่ใจกับการเขียนมากยิ่งขึ้น โดยการเขียนนั้นมีรูปแบบของการเขียนต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์
                รูปแบบการเขียน (Form of writing) หมายถึง วิธีการเรียบเรียงเนื้อหาในการเขียน ซึ่งมีโครงสร้างที่เป็นแบบแผน มีคุณลักษณะและมีองค์ประกอบหลักที่ใช้การเขียนสำหรับรูปแบบ  รูปแบบการเขียนมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของงานเขียน เช่น Narrative , Descriptive , Directive , Expository และ Argumentative ในงานเขียนแต่ละชิ้น ผู้เขียนจะเขียนให้สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนและวัตถุประสงค์ของงานทุกครั้ง ไม่หลุดประเด็น มีใจความเดียวทั้งเรื่อง มีการใช้คำและภาษาที่น่าสนใจ

จุดประสงค์ในการเขียน
          จุดประสงค์ในการเขียนมีหลายประการตามความต้องการของผู้เขียนซึ่งจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเขียน จุดประสงค์ในการเขียนโดยทั่วไปมีผู้รวบรวมไว้ดังต่อไปนี้
1.    เพื่อเล่าเรื่อง บอกเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์ เช่น เล่าประวัติ เล่าเหตุการณ์ เล่าประสบการณ์ชีวิต เล่าเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ บันทึกเหตุการณ์ บันทึกประจำวัน
2.    เพื่อแสดงความคิดเห็นและแนะนำ เช่น แสดงแนวคิดจากการอ่าน แสดงอารมณ์และความรู้สึก แสดงความคิดอย่างเสรีและเชิงสร้างสรรค์ แสดงความเห็นประกอบเหตุผล แนะนำตนเอง แนะนำบุคคล แนะนำสถานที่
3.    เพื่ออธิบายให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เช่น อธิบายเรื่องธรรมชาติ อธิบายเหตุผล อธิบายการแสดงหรือพฤติกรรมของบุคคล  อธิบายวิธีการ/การปฏิบัติ  อธิบายวิธีทำตามขั้นตอน
4.    เพื่อจดบันทึกการฟัง การดูและการอ่าน จากสื่อต่างๆ เช่น บันทึกความรู้ บันทึกการฟัง บันทึกการอ่านหนังสือ
5.    เพื่อการวิเคราะห์ เช่น แสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ เขียนวิเคราะห์ข่าว เขียนแสดงข้อเท็จจริงและความคิดเห็น
    6.    เพื่อการวิจารณ์ เช่น วิจารณ์ตัวละคร/บทละคร/บทความ วิจารณ์เรื่องจากภาพ
 7.    เพื่อสร้างจินตนาการและความบันเทิง เช่น นิทาน เรียงความเรื่องตามจินตนาการ บรรยายภาพ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ บทละคร บทสนทนา
8.    เพื่อการโฆษณา ชักจูงใจ เชิญชวน และประกาศแจ้งความ เช่น โฆษณาสินค้า โฆษณาหาเสียง  คำอวยพร บัตรเชิญในโอกาสต่างๆ ประกาศของทางราชการ
9.    เพื่อประโยชน์ในการเรียน เช่น เขียนสรุปความ เขียนย่อความ เขียนย่อเรื่อง เขียนสรุปความจากการ ฟังหรือการอ่าน
    10.  เพื่อการใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จดหมาย การกรอกแบบรายการต่างๆ

ประเภทของการเขียน              
          1.  การเขียนบรรยาย (Description)  มีรูปแบบการเขียน คือ รายงานการสังเกตและข้อเขียนเชิงบรรยาย เป็นข้อเขียนที่ให้รายละเอียดของคุณลักษณะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง ข้อเขียนแบบนี้จะใช้อยู่ในข้อเขียนแบบอื่นๆด้วย ซึ่งจะกล่าวถึง อะไร ที่ไหน เมื่อไร ดูเป็นอย่างไร เสียงเป็นอย่างไร กลิ่นเป็นอย่างไร ให้ความรู้สึกอย่างไร มีความเป็นพิเศษเพราะอะไร เป็นต้นโดยทั่วไป จึงใช้รายละเอียดของประสาทสัมผัส  เพื่อให้ผู้อ่านสนใจเค้าโครงเรื่องและแก่นของเรื่องที่บรรยาย เช่น บรรยายถึงต้นไม้ในสวนหลังบ้านของฉัน การไปเยี่ยมผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาล หรือนักกีฬาทำอย่างไรเพื่อไปสู่โอลิมปิก การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
  1)    ตอนนำ (Introduction) เป็นข้อความทั่วไปเกี่ยวกับเรื่อง ได้แก่ ใคร/อะไร เมื่อไร  ที่ไหน
 2)    ตอนรายละเอียด (Detail) เป็นการบรรยายคุณลักษณะ
   -   สำหรับบุคคล กล่าวถึง เขาดูเป็นอย่างไร เขาทำอะไร เขาแสดงออกอย่างไร อะไรที่เขาชอบ/ไม่ชอบ
   -   สำหรับสิ่งของ กล่าวถึง สิ่งนั้นดูเป็นอย่างไร ได้ยิน-รู้สึก-ได้กลิ่น-รส เป็นอย่างไร พบที่ไหน มันทำอะไร ใช้อย่างไร อะไรที่เป็นคุณสมบัติพิเศษ
          2.  การเขียนเล่าเรื่อง (Narrative) เป็นข้อเขียนที่เล่าถึงเรื่องต่างๆที่ให้ความบันเทิง กระตุ้น หรือสอน มุ่งที่จะให้ผู้อ่านเกิดความตั้งใจ และคงความสนใจไว้ได้นาน เรื่องมีหลายประเภท ได้แก่ ละครเหมือนชีวิตจริง เรื่องเชิงจินตนาการ เรื่องผจญภัย นิยายเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องลึกลับ เทพนิยาย นิทาน ตำนาน เป็นต้น การเขียนแบ่งออกเป็น 4 ตอน ได้แก่
      1)    ตอนที่เป็นการเกริ่น (Orientation) กล่าวถึง ฉากและตัวละคร ซึ่งจะรวม         การกล่าวถึง ใครหรืออะไร ที่ไหน และ เมื่อไร
     2)    ตอนที่กล่าวถึงความยุ่งยาก (Complication) เป็นการกล่าวถึงความยากลำบากหรือปัญหา ที่ทำให้การดำรงชีวิตหรือความสะดวกสบายของตัวละครเกิดความยุ่งยากขึ้น และก่อให้เกิดลำดับของเหตุการณ์ที่น่าสนใจตามมา
     3)    ลำดับเหตุการณ์ (Sequence of events) ซึ่งอาจประกอบด้วย
       -  การบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลำดับแรก…… ต่อมา.....   ภายหลัง..... หลังจากนั้น......
       -  ลำดับเหตุการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นกับตัวละครแต่ละตัว ในขณะที่..... ในขณะ..... ในระหว่างนั้น..... เมื่อ
       - การผสมผสานของลำดับ
       - ความยุ่งยากอื่นๆ
       4)  การแก้ปัญหา (Resolution) เป็นการกล่าวถึงผลสุดท้ายของเหตุการณ์ ซึ่งเป็นที่ปัญหาได้รับการแก้ไข
          3.  การเขียนเล่าเหตุการณ์ (Recount) เป็นข้อเขียนที่เล่าถึงเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่ผ่านมา โดยมีการเรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
         1)    ตอนนำ (Introduction) เป็นการกำหนดฉาก โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับใคร/อะไร เมื่อไร ที่ไหน และทำไม
       2)    เหตุการณ์ (Events) กล่าวถึง อะไรที่เกิดขึ้นตามลำดับของเวลา โดยใช้คำเกี่ยวกับเวลา ได้แก่ แรกสุด ต่อมา ในไม่ช้า ระหว่าง ภายหลัง ต่อมาภายหลัง ในที่สุด สิ่งสุดท้ายรวมทั้งคำคุณศัพท์ ข้อความที่เขียนเป็นเรื่องของอดีตกาล
       3)    ตอนสรุป (Conclusion) เป็นการกล่าวถึงข้อคิดเห็นส่วนตัวว่า ผู้เขียนคิดอะไร รู้สึกอย่างไร หรือตัดสินอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเขียนมีลักษณะเป็นส่วนตัว จึงใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง
          4.  การเขียนอภิปราย (Discussion) เป็นข้อเขียนที่กล่าวทั้งข้อดีและข้อเสียของหัวข้อปัญหา โดยแสดงเหตุผลที่สนับสนุนและคัดค้านในเรื่องนั้น การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน คือ
        1)    ตอนที่ว่าด้วยหัวข้อปัญหา (Issue) เป็นการแนะนำหัวข้อปัญหาหรือหัวข้อเรื่องว่า คืออะไร กล่าวถึงกลุ่มที่ต่างกัน มีความเห็นต่างกัน อาจแนะนำกลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่คัดค้าน
         2)    ตอนที่ว่าด้วยเหตุผล (Argument) กล่าวถึงประเด็นและหลักฐานของกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน ดังนี้
                 (1)  กลุ่มที่สนับสนุน
                       ความเห็นข้อแรก........ ใคร เขาคิดอะไร เหตุใด
                        ความเห็นข้อที่สอง.......ใคร เขาคิดอะไร เหตุใด
                  (2)  กลุ่มที่คัดค้าน
                          ความเห็นข้อแรก....... ใคร   เขาคิดอะไร    เหตุใด
                          ความเห็นข้อที่สอง..... ใคร  เขาคิดอะไร    เหตุใด
           3)    ตอนสรุป เป็นการสรุปความถึงเหตุผลและผู้เขียนให้ข้อเสนอแนะอะไร เพราะเหตุใด การเขียนมีการใช้คำนาม สรรพนาม และคำที่เชื่อมถึงเหตุผลที่แสดงถึงปัจจุบันกาลหรืออดีตกาล ลักษณะการเขียนต้องเป็นปรนัยที่ยุติธรรม ใช้สรรพนามบุรุษที่สองหรือที่สาม
          5. การเขียนเชิงอธิบาย (Exposition) / การเขียนโต้เถียง (Argument) เป็นการเขียนที่ต้องแสดงเหตุผลในสองด้าน เป็นการเขียนเพื่ออธิบายหรือโต้เถียง โดยที่ทั้ง 2 ด้านต้องแสดงเหตุผลโต้แย้งเพื่อสนับสนุนเหตุผลในการโต้แย้ง แต่ควรมีความสมดุลในเหตุและผลที่จะนำเสนอโดยอาศัยต้องใช้ข้อมูล สถิติและข้อคิดเห็นสนับสนุนประกอบ หรือทั้งการตรวจสอบหรืออธิบายว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอาศัยความคิดเห็นส่วนบุคคลมากกว่าหลักฐานสนับสนุนความจริงจากบุคคลหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ จะเป็นการวิเคราะห์และแสดงให้เห็นสภาพความเป็นจริง อธิบายความรู้สึกและวิเคราะห์จากความจริงที่ปรากฏอยู่
          6. การเขียนเกี่ยวกับวิธีการ (Procedure) เป็นข้อเขียนที่บอกให้ทราบว่า จะสร้างหรือทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
      1)    เป้าประสงค์ (Goal) เป็นการบอกถึงสิ่งที่จะสร้างหรือทำ ซึ่งอาจรวมไปถึงการบรรยายสั้นๆ ถึงผลผลิตที่จะเกิดขึ้น
       2)    สิ่งที่ต้องการใช้ (Requirements) กล่าวถึงรายการสิ่งที่ต้องการใช้ในการกระทำ ได้แก่
                -  ส่วนประกอบในการทำ
                -  เครื่องใช้ต่างๆ
                 -  วัสดุ
                 -  เครื่องมือ
       3)    ขั้นตอน (Steps) กล่าวถึงขั้นตอนการทำตามลำดับ อาจใช้ภาพหรือแผนผังประกอบ การสอนเริ่มด้วยคำกริยาและอธิบายให้ชัดเจนว่า ทำอะไรและทำอย่างไรโดยทั่วไปใช้สรรพนามบุรุษที่สองหรือสาม
          7.  การเขียนรายงานสารสนเทศ (Information report) เป็นข้อเขียนที่ให้สารสนเทศโดยกล่าวถึงข้อเท็จจริง โดยทั่วไปใช้บรรยายเกี่ยวกับประเภทหรือกลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ หรือ สถานที่ การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
        1)    ตอนนำ (Introduction) กล่าวถึงนิยามหรือการจัดประเภท หรือคำบรรยายสั้นๆ
       2)    ตอนบรรยาย (Description) กล่าวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นย่อหน้าๆไป อาจใช้ภาพถ่าย ภาพวาด แผนที่หรือแผนผัง ประกอบด้วย หัวข้อย่อย ในการบรรยายที่ใช้กันมาก ได้แก่
(1)  เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ประกอบด้วย รูปร่างภายนอก ที่อยู่อาศัย การเคลื่อนไหว อาหา พฤติกรรม วงจรชีวิต
(2)  เรื่องเกี่ยวกับบุคคล ประกอบด้วย ชื่อ อายุ รูปร่างภายนอก บุคลิกภาพ อาชีพ ความสำเร็จประวัติความเป็นมา
(3)  เรื่องเกี่ยวกับสิ่งของ ประกอบด้วย ลักษณะภายนอก ส่วนต่างๆ หน้าที่ ลักษณะเฉพาะ การใช้ประโยชน์ คุณค่า
(4)  เรื่องเกี่ยวกับสถานที่ ประกอบด้วย ตำแหน่งที่อยู่ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ประชากร วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
           3)    ตอนสรุป (Conclusion) เขียนสรุปความหรือข้อคิดเห็น เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริง จึงไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก ใช้คำที่มีความหมายกว้างๆและใช้สรรพนามบุรุษที่สาม
         8.  การเขียนอธิบาย (Explanation) เป็นข้อเขียนที่อธิบายว่าบางสิ่งบางอย่างทำงานอย่างไรหรือบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงเกิดขึ้น การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
        1)    ตอนนำ (Introduction) เป็นข้อความทั่วไปเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องอาจประกอบด้วยนิยามหรือคำถาม คำบรรยายสั้นๆ
      2)    การอธิบาย เป็นชุดของข้อความที่อธิบายตามลำดับในเรื่อง
                (1)  บางสิ่งบางอย่างทำงานอย่างไร ซึ่งอาจประกอบด้วย ใช้ทำอะไร แต่ละส่วนทำอะไร แต่ละส่วนทำงานร่วมกันอย่างไร ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หรืออาจอธิบายในเรื่อง
                (2)  ทำไมบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งอาจประกอบด้วย เริ่มต้นอย่างไร ทำไม อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ทำไม อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำไม อะไรจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด ทำไม
       3)    ตอนสรุป เป็นการสรุปความหรือให้ข้อคิดเห็น อาจประกอบด้วยการสรุปความหรือข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ และประวัติความเป็นมา
               การเขียนแต่ละประเด็นสำคัญให้ขึ้นย่อหน้าใหม่ คำที่ใช้ได้แก่ ศัพท์เทคนิคหรือศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ คำกริยา และคำสันธาน ข้อเขียนจะเป็นปัจจุบันกาล ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกและใช้สรรพนามบุรุษที่สาม
          9.  การเขียนแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกตอบสนอง ( Personal Response) เป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนบรรยายถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ใช้สำหรับการวิจารณ์ การให้ข้อมูลย้อนกลับ หรือการประเมิน เพื่อแสดงถึงความคิด หรือความรู้สึกต่อสิ่งนั้นๆ ว่าอะไรเกิดขึ้น มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ทำไมจึงมีความพิเศษในเรื่องนั้น จะโต้ตอบอย่างไร เรื่องนั้นมีผลอย่างไรต่อผู้เขียน ผู้เขียนรู้สึกอย่างไร และผู้เขียนคิดอะไรอยู่ การเขียนแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
         1)    ตอนที่เป็นการเกริ่นนำ (Orcintation) เป็นการระบุเรื่องว่าอะไร ใคร เมื่อไร และ   ที่ไหน
         2)    รายละเอียด (Details) เป็นการบรรยายเรื่องและปฏิกิริยาตอบสนองของผู้เขียนต่อเรื่องนั้น
   (1)  การบรรยายเรื่อง อาจประกอบด้วย ตัวบุคคลหรือตัวละครที่เกี่ยวข้อง สรุปว่าอะไรเกิดขึ้น มีลักษณะสำคัญอะไร
(2)  การตอบสนอง อาจประกอบด้วย เรื่องนั้นทำให้ผู้เรียนรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรเกี่ยวกับตัวละครและเหตุการณ์ ผู้เขียนได้เรียนรู้อะไร
          3)    การสรุป กล่าวถึงการประเมินตอนสุดท้าย หรือข้อเสนอแนะ การเขียนจะใช้คำที่เป็นการบรรยาย และคำที่เกี่ยวกับการประเมินในลักษณะอดีตกาลและรวมถึงอนาคตกาล
                นอกจากนี้แล้ว รูปแบบของการเขียนยังมีที่มาจากอีกหลายแห่ง ซึ่งได้แก่
         1. การเขียนจดหมายบุคคล (The Personal Letter) จดหมายคือสารในรูปข้อเขียนที่มีหลายชนิด เช่น การเขียนบอกข่าวหรือเล่าเรื่องที่พบเห็น การเขียนเสนอความคิดหรือความรู้สึก การเขียนข้อร้อง เป็นต้น               การเขียนแบ่งเป็น 4 ตอนได้แก่
1)    ผู้ส่ง (Sender) แจ้งที่อยู่หัวจดหมายสำหรับการส่งจดหมายตอบกลับ อาจรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์และอีเมล์
     2)    ถึงผู้รับ (To) ประกอบด้วย วันที่ ชื่อ ที่อยู่ และการทักทายโดยใช้ชื่อของผู้รับ
     3)    สาร (Message) รายละเอียดของสารประกอบด้วย ตอนนำ สาร และความเห็น โดยเขียนอย่างสุภาพ
     4)    จากผู้ส่ง (From) ประกอบด้วยคำลงท้าย ชื่อผู้ส่ง ตำแหน่ง (ถ้าเป็นจดหมายทางการ)
          2.  การเขียนซองจดหมาย (The Envelope) ในการเขียนจ่าหน้าซองจดหมายนั้น จะมีข้อมูลผู้รับและผู้ส่งที่ระบุไว้ชัดเจน   การเขียนแบ่งเป็น 2 ตอนได้แก่
   1)    ผู้ส่ง (Sender) แจ้งที่อยู่หัวจดหมายสำหรับการส่งจดหมายตอบกลับ อาจรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์และอีเมล์
   2)    ถึงผู้รับ (To) ประกอบด้วย วันที่ ชื่อ ที่อยู่
         3.  การเขียนจดหมายทั่วไป (The Formal Letter) จดหมายคือสารในรูปข้อเขียนที่มีหลายชนิด เช่น การเขียนบอกข่าวหรือเล่าเรื่องที่พบเห็น การเขียนเสนอความคิดหรือความรู้สึก การเขียนข้อร้อง เป็นต้น               การเขียนแบ่งเป็น 4 ตอนได้แก่
     1)    ผู้ส่ง (Sender) แจ้งที่อยู่หัวจดหมายสำหรับการส่งจดหมายตอบกลับ อาจรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์และอีเมล์
      2)    ถึงผู้รับ (To) ประกอบด้วย วันที่ ชื่อ ที่อยู่ และการทักทายโดยใช้ชื่อของผู้รับ
      3)    สาร (Message) รายละเอียดของสารประกอบด้วย ตอนนำ สาร และความเห็น โดยเขียนอย่างสุภาพ
      4)    จากผู้ส่ง (From) ประกอบด้วยคำลงท้าย ชื่อผู้ส่ง ตำแหน่ง (ถ้าเป็นจดหมายทางการ)
          4. การเขียนบรรณาธิการ (Letter to the Editor) เป็นการเขียนเพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อความที่ใช้อ้างอิง ในเนื้อหาที่นำมาเขียนเรียบเรียง นำรายการของทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดที่ผู้ทำรายงานได้ใช้ประกอบการเขียนรายงาน ทั้งที่ปรากฏชัดเจนโดยเขียนอ้างอิงไว้ และส่วนที่ไม่ปรากฏชัดเจน แต่อาจเป็นเพียงการรวบรวมความคิดหลาย ๆ แนว แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่
         5. การเขียนโปสการ์ด (Postcards) คือ ภาพถ่ายทั่วไปที่นิยมใช้เป็นของที่ระลึกในวันหยุดต่าง ๆ เพราะจะหาซื้อได้ง่าย ในราคาที่ถูกแสนถูกแล้ว โปสการ์ดรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั้งในและนอกประเทศยังสามารถเก็บเป็นของสะสม ของที่ระลึก ตัวแทนหรือสื่อที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำต่างๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย มีหลักการง่ายๆ 3 อย่างด้วยกัน อันได้แก่
1) ข้อความสั้นกระชับ (short)
2) เนื้อหาเป็นไปในเชิงบวก (positive)
3) ใจความสามารถคาดเดาได้ในที (predictable in their content)
โดยคุณสามารถเลือกใช้คำใดคำหนึ่งของคำคุณศัพท์ (adjective) เพื่อบรรยายความรู้สึกส่วนตัว
                6. การเขียนเพื่อเชิญชวน (Invitations) การเชื้อเชิญเป็นการแสดงถึงความเป็นผู้มีนํ้าใจ เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย อาจจะเป็นการเชื้อเชิญธรรมดา หรือสุภาพหรือเกรงใจ ซึ่งถือเป็นมรรยาททางสังคม และมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสนทนา โดยจำเป็นต้องมีรายละเอียดงาน ว่า จัดงานอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร การแต่งกายอย่างไร และข้อมูลการติดต่อกลับอย่างชัดเจน
                7. การเขียนไดอารี่   (Diary Extract) เป็นการเขียนที่บันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกของบุคคลและแสดงความรู้สึกต่าง ๆ โดยมีหลักการดังนี้
                1) เขียนชื่อเจ้าของไดอารี่
                2) เขียนวัน วันที่ เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
                3) ใช้ Present tense ในการเขียนเรื่องที่เกิดในตอนนั้น และใช้ Past tense ในการเขียนเรื่องราวที่ป่านไปแล้ว
                4) เขียนเป็นพารากราฟสั้น ๆ โดยใช้ประโยคทั่วไป ใช้ภาษาที่แสดงถึงอารมณ์ ความคิดเห็น และความรู้สึก
                8. การเขียนการสัมภาษณ์ (Interviews/ Dialogues) การเขียนสัมภาษณ์ เป็นโครงสร้างการพูดคุยปรึกษาหารือระหว่างคนสองคน โดยที่คนหนึ่งเป็นผู้ถามและอีกคนจะเป็นผู้ตอบ จะมีการแนะนำตัวเองก่อนการสัมภาษณ์ ซึ่งจัดทำขึ้นมาเพื่อทดสอบความรู้ การเตรียมตัว ในการตอบ ว่าจะตรงประเด็นหรือไม่อย่างไร
                9. การเขียนสคริป (Script Writing) สคริปจะเป็นไปตามรูปแบบของการสนทนา ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นไปตามการสรุป เวลาและสถานที่ ชื่อของตัวบุคคลในการสรุป ฉาก จุดเด่น และสรุปผล มีฝ่ายทะเบียนเป็นผู้ดำเนินการให้ความสะดวก ทั้ง เครื่องแต่งกาย ดนตรี เทคนิค แสง และอื่นๆ อีกมาย
                10.  การเขียนรายงานข่าว (A Newspaper Report) เป็นการเขียนข่าวในสิ่งที่เป็นความจริง มีหัวข่าวที่ชัดเจน และแบ่งเนื้อหาเป็นย่อหน้าอย่างเหมาะสม จะเป็นการสรุปสั้น ๆ ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร โดยใช้ present และ past tense ในการรายงาน
                11. การเขียนบทความสารคดี (Feature Article) เป็นบทความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร ชักชวน หรือ บันเทิง เขียนแบบสารคดีมีการวิเคราะห์วิจารณ์ควบคู่กันไป ทำให้มีสาระมากกว่าบันเทิง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเอาข้อเท็จจริงที่มีสารมาเขียนในรูปแบบของสารคดี ในย่อหน้าแรกจะเป็นการเกริ่นแนะนำเกี่ยวกับหัวเรื่อง ย่อหน้าที่สองจะเป็นเนื้อหารายละเอียด จะมีการอธิบายและใช้ภาษาที่จินตนาการได้ สุดท้ายในการสรุปจะเป็นการพูดถึงเนื้อหาทั้งบทความ
                12. การเขียนบทบรรณาธิการ (Editorial) บทความที่แสดงทัศนะที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น บทความนี้อยู่ในความดูแลของกองบรรณาธิการที่จะมอบหมายให้บรรณาธิกรเป็นผู้เขียน หรือมอบหมายให้ผู้เขียนคนใดเขียนประจำหรือหมุนเวียนกันไปตามความถนัดของนักเขียนแต่ละคนก็ได้ ทั้งนี้ แนวคิดที่นำเสนอในบทบรรณาธิการถือเป็นจุดยืนทางความคิดหรือแสดงนโยบายหลักของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
                13. การเขียนจุลสาร (Pamphlet) จุลสาร อาจจะมีการข้อมูลที่ให้ความรู้ สามารถชักจูงได้ หรือ เกี่ยวกับการเรียนการสอน จะความหมายที่ชัดเจน เนื้อหาสั้นกระชับ มีรูปภาพประกอบได้ เป็นสื่อที่จุงใจให้ผู้อ่านเกิดความรู้
                14. การเขียนโฆษณา (Advertising) คือ การเสนอขายสินค้า บริการ หรือความคิดโดยการใช้สื่อ เพื่อให้ เข้าถึงลูกค้าจํานวนมากได้ ในเวลาอันรวดเร็ว สื่อโฆษณาที่สําคัญประกอบด้วย โทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์ นิตยสารป้ายโฆษณา ฯลฯ ผู้เขียนควรออกแบบโฆษณาให้น่าสนใจ น่าเชื่อถือ อธิบายสินค้าและโปรโมชั่นอย่างชัดเจน
                15.การเขียนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Communication) หมายถึง สื่อที่บันทึกสารสนเทศด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์อาจอยู่ในรูปของ สื่อบันทึกข้อมูลประเภทสารแม่เหล็กเช่น แผ่นจานแม่เหล็กชนิดอ่อน (floppy disk) และสื่อประเภทจานแสง(optical disk)บันทึกอักขระแบบดิจิตอลไม่สามารถอ่านได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บันทึกและอ่านข้อมูล เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคม การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการเรียนการสอนจะออกมาในลักษณะของสื่อประสม หรือมัลติมีเดีย (Multimedia) แสดงผลออกมาหลายรูปแบบตามที่โปรแกรมไว้ เช่น มีเสียง เป็นภาพเคลื่อนไหว สามารถให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ปัจจุบันสื่อประเภทนี้มีหลายลักษณะ ดังนี้
      - E-mail เป็นจดหมายสั้นทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่งเป็นข้อความ จดหมาย เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ เป็นที่นิยมใช้ในการติดต่อสื่อสาร
      - Tax เป็นเอกสาร ส่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ หรือที่เรียกกันว่า FAX สามารถส่งจากคอมพิวเตอร์หรือมือถือก็ได้
      - SMS เป็นบริการข้อความสั้นส่งผ่านโทรศัพท์มือถือ
                16. การเขียนสรุป (Summary/Precis Writing) เป็นการเขียนสรุปที่ควรใช้ความระมัดระวังมากที่สุดในรูปแบบการเขียนทั้งหมด
                17. การเขียนบทกวี (Poetry Writing) เป็นการเขียนที่มีรูปแบบที่กระตุ้นการแสดงออก อิสระในการเขียน มีหลายประเภทได้แก่ The word poem, The syllable poem , Haiku , The shape poem , Rhyming poetry , The limerick , Conversation of prose into poetry.

จากรูปแบบการเขียนที่กล่าวในข้างต้นนั้น จะเห็นได้ถึงความแตกต่างของการเขียนแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน การเขียนเป็นการสื่อสารด้วยอักษร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ของผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่เป็นทั้งศิลป์และศาสตร์ กล่าวคือ การเขียนต้องใช้ภาษาที่ไพเราะประณีต สื่อได้ทั้งอารมณ์ ความคิด ความรู้ ต้องใช้ศิลปะ ที่กล่าวว่าเป็นศาสตร์เพราะการเขียนทุกชนิดต้องประกอบด้วยความรู้ หลักการและวิธีการ ดังนั้นในการเขียนงานใดงานหนึ่งควรคำนึงถึงรูปแบบและหลักการเขียนให้ถูกต้องเพื่อได้มาซึ่งงานเขียนที่สมบูรณ์

Learning Log 6

โครงสร้างพื้นฐานของประโยค

            หลายครั้งที่เราไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษอย่างไร เพราะเราไม่ทราบว่าโครงสร้างของประโยคภาษาอังกฤษนั้นเป็นอย่างไร ในภาษาไทยเราสามารถสลับคำไปมาได้ และเราก็เข้าใจมัน แต่ในภาษาอังกฤษไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำให้รูปประโยคไม่สมบูรณ์ ทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะพูด   ในการสื่อสารต่าง ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย การรู้จักโครงสร้างประโยคจะช่วยให้สามารถพูด หรือเขียนได้ง่ายมากขึ้น วันนี้เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นพื้นฐานการแต่งประโยคภาษาอังกฤษได้ดีมากขึ้น เพราะเมื่อเรารู้โครงสร้างแล้ว ก็สามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้องและง่ายมากขึ้นอีกด้วย ประโยคภาษาอังกฤษไม่ว่าจะยาวหรือซับซ้อนอย่างไร สามารถกระจายเป็นรูปโครงสร้างพื้นฐานได้ ซึ่งเมื่อแยกแล้วจะมีลักษณะต่างกันออกไปในแต่ละแบบ เช่น ได้เป็นใจความสมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักภาษา สื่อความหมายตรงไปตรงมา แต่ขาดความไพเราะ ไม่สละสลวย หรือ รายละเอียดตรงตามความตั้งใจของผู้แต่งแต่งประโยค แต่มีคำ วลี หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม ดันนั้นการแยกข้อความตามลักษณะของประโยคโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้การวิเคราะห์ความหมายของประโยคนั้นดีขึ้น
ฮอร์นบีและคณะได้แยกประโยคพื้นฐานไว้ใน The Advanced Learner’s Dictionary of Current English ไว้ 25 แบบ โดยแบ่งตามหน้าที่และความนิยมในการใช้คำกริยาเป็นหลัก เรียกว่า กระสวนหรือ แบบของคำกริยา (Verb pattern) แต่ ไนดาและเทเบอร์ ได้แยกประโยคพื้นฐานของภาษาอังกฤษไว้ 7 แบบ โดยเรียกประโยคพื้นฐานว่าประโยคแก่น  (kernel sentence)  และ สเตจเบอร์ก แยกประโยคพื้นฐานที่เรียกว่า ประโยคเปลือย (bare sentence) ออกเป็น 9 แบบ แต่ในที่ดิฉันได้เรียนรู้คือโครงสร้างประโยคพื้นฐานของฮอร์นบี และไนดา
แบบคำกริยาของฮอร์นบี สามารถแบ่งคำกริยาออกเป็น 25 แบบ ดังนี้
      VP 1                              VP + Direct Object
      VP 2                              VP + (not) to + Infinitive,  etc.    
      VP 3                              VP + Noun or Pronoun + (not) to +  Infinitive, etc.             
       VP 4                             VP + Noun or Pronoun + (to be)  +  Complement.               
      VP 5                              VP + Noun or Pronoun + Infinitive,  etc.                 
      VP 6                              VP + Noun or Pronoun + Present  Participle           
      VP 7                              VP + Object + Adjective
      VP 8                              VP + Object + Noun
      VP 9                              VP + Object + Past Participle       
      VP 10                            VP + Adverb or Adverbial Phrase , etc.    
      VP 11                            VP + that - clause             
      VP 12                            VP + Noun or Pronoun + that - clause       
      VP 13                            VP + Conjunctive + to + Infinitive , etc.  
      VP 14                            VP +      Noun or Pronoun + Conjunctive + to + infinitive , etc.
      VP 15                            VP +      Conjunctive + Clause
      VP 16                            VP +      Noun or Pronoun + conjunctive + Clause
      VP 17                            VP + Gerund , etc.
      VP 18                            VP + Direct Object + Preposition + Prepositional Object
      VP 19                            VP + Indirect Object + Direct Object
      VP 20                            VP + (for) + Complement of distance , Time , Price , etc.
      VP  21                           VP   alone
      VP  22                           VP + Predicative
      VP 23                            VP +      Adverbial Adjunct
      VP 24                            VP +      Preposition + Prepositional Object
      VP 25                            VP +      to + Infinitive
                แบบประโยคพื้นฐานของไนดา แบ่งประโยคพื้นฐานได้ออกเป็น 7 แบบดังนี้
      1. Noun + Verb1
      2. Noun + Verb2 + Noun
      3. Noun + Verb3 + Noun + Noun
      4. Noun + Verb4 + Preposition + Noun
      5. Noun + Verb4 + Adjective
      6. Noun + Verb4 Indefinite article + Noun
      7. Noun + Verb4 Definite article + Noun
ซึ่ง Noun  ที่อยู่หน้า Verb1 จะเป็นประธานของประโยค อยู่หลัง Verb2 จะเป็นกรรม ที่อยู่หลัง Verb3 คำแรกของกรรมรอง คำหลังเป็นกรรมตรง และ Verb1 – 4 นี้ จะหมายถึง ประเภทต่างๆของคำกริยา
                การรู้จักโครงสร้างประโยคจะช่วยให้สามารถพูด หรือเขียนได้ง่ายมากขึ้น วันนี้เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นพื้นฐานการแต่งประโยคภาษาอังกฤษได้ดีมากขึ้น เพราะเมื่อเรารู้โครงสร้างแล้ว ก็สามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้องและง่ายมากขึ้นอีกด้วย ประโยคภาษาอังกฤษไม่ว่าจะยาวหรือซับซ้อนอย่างไร สามารถกระจายเป็นรูปโครงสร้างพื้นฐานได้ ซึ่งเมื่อแยกแล้วจะมีลักษณะต่างกันออกไปในแต่ละแบบ  ในการแปลภาษาหนึ่งเป็นภาษาหนึ่งนั้น ถ้าผู้แปลมีความสามารถ มีความรู้ดีทั้งสองภาษา การตีความหรือการวิเคราะห์ความหมายของประโยคก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจ มีความชำนาญน้อย การแยกประโยคที่ซับซ้อนจะเป็นประโยคพื้นฐานนี้ จะวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้แปลเข้าใจประโยคและตีความหมายได้อย่างถูกต้อง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความเข้าใจ