วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 27 ตุลาคม



สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนและจากการอบรม


          ภาษาอังกฤษล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ ถือไดว่าภาษาอังกฤษมีบทยาทสำคัญอย่างยิ่งกับคนไทยและคนทั่วโลก เพราะทุกคนล้วนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต ดูทีวี ดูหนัง เป็นต้น รวมทั้งการใช้ภาาาในทางอ้อม คือการสร้างสิ่งแวดล้อมเป็นภาษาอังกฤษ เช่น ฟังเพลง ใช้ขอใช้ต่าง ๆ พูดไทยคำอังกฤษคำ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการติดต่อสื่อสารที่ต้องอาศัยทักษะทางภาษาทั้งสิ้น ทุกคนจะต้องมีความรู็ทางด้านภาษาอังกฤษ มีทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งต้องพัฒนาทักษะเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่วไม่ติดขัด สำหรับการเรียนรู้นี้ก็รู็กันอยู่แล้วว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เราทุกคนต้องแสวงหาความรู็อยู่เสมอ เพื่อพัฒนาและยกระดับชีวิตให้ดีขึ้น การเรียนรู้นี้ก็สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น เราทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อที่จะสามารถเข้าใจ สื่อสารกับคนอื่นทั่วโลกได้ ดิฉันเองในฐานะที่เป็นผู้สนใจภาษาอังกฤษ แน่นอนอยู่แล้วว่าจะหยุดกาเรียนรู้ไม่ได้ ดิฉันจึงนำเวลาว่างจากการทำงานและการเรียนของฉันมาศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอด้วยเช่นกัน
          ในวันที่ 27 ตุลาคม นี้ ดิฉันได้ใช้เวลาว่างจากการเรียนและำการบ้านมาฝึกทักษะการฟังสากลโดยฟังเพลง Until you ของศิลปิน Shayne Ward ซึ่งเพลงนี้ เป็นเพลงที่มีทำนองช้า ฟังง่าย ไพเราะ ดิฉันได้ฟังเพลงนี้เพื่อนำไปใช้ในการตัดต่อวีดีโอ จึงได้ฟังเพลงนี้หลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจ โดยครั้งแรกดิฉันฟังเพลงนี้โดยไม่ดูเนื้อร้อง และพยายามร้องตาม แต่ผลปรากฏว่าร้องไม่ทัน ร้องไม่ถูกต้อง จึงฟังเพงนี้อีกสองรอบ โดยที่ดูเนื้อเพลง และร้องตาม ทำให้ร้องทันเป็นบางประโยค จึงลองเปิดเนื้อเพลงแล้วร้องตาม ทำให้ร้องตามทันเป็นบางประโยค จึงลองเปิดเนื้อเพลงทั้งหมดขึ้นมาเพื่อร้องตาม ทำให้พบว่าในเพลงนี้มีความหมายเกี่ยวกับความรัก มีการใช้ประโยค It feels like nobody ever knew me until you knew me บ่อยมาก และคำหลักในเพลงนี้คือ feels เช่น It feels like nobody ever knew me until you knew me , Feels like nobody ever loved me until you loved me , Feels like nobody ever touched me until you touched me จะเห็นว่าในแต่ละประโยคจะมีการใช้ past tense เช่นคำว่า feels, loved, touched , addicted , through เป็นต้น เมื่อศึกษาเนื้อเพลงแล้วดิฉันได้กลับไปฟังเพลงนี้อีก 2 ครั้งแล้วร้องตามอีก 2 ครั้ง ทำให้ดิฉันสามารถร้องเพลงนี้ได้ แต่ยังบางประโยคที่ยังไม่ชัดเจนและสำเนียงการร้องยังไม่ไพเราะจึงฝึกร้องเรื่อย ๆ ซึ่งจากการฟังเพลง until you นี้ ทำให้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง การแปล การออกเสียง และการศึกษาแกรมม่า ในเนื้อเพลงอีกด้วย จากการฟังเพลงแค่หนึ่งเพลงนี้ทำให้เกิดการพัฒนาหลายทักษะและยังเกิดความสนุกสนานอีกด้วย
ในวันที่ 28 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการอ่านจากการอ่า่นข่าวบันเทิงของต่างชาติจาก http://learningenglish.voanews.com/search/search2.aspx#all|American%20Halloween%20Goes%20the%20Dogs|0|allzones|min|now|date|banner ในหัวข้อข่าวเรื่อง American Halloween Goes to the Dogs เนื้อข่าวเกี่ยวกับการนำสุนัขมาแต่งตัวร่วมกิจกรรมวันฮาโลวีนที่มีทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงในชุดต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ฉันอ่านแล้วลองหาศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย ผลปรากฏว่ามีคำศัพท์ที่ไม่รู้ดังนี้ 
    -   costumes – n. clothes worn by someone in a different role ​
    -   pets – n. an animal (such as a dog, cat, bird, or fish) that people keep mainlyfor pleasure
    -   mastiff – n. a type of large, powerful dog, once bred as a warrior
    -  chihuahua – n. a very small dog with large ears and usually short hairoriginally from Mexico
    -  characters – n. a person who appears in a story, book, play, movie ortelevision show
    -   celebrities – n. people who are famous
    -   bow tie – n. a narrow length of cloth that is worn by men around the neck andtied into a bow at the throat
    -   craze – n. something that is very popular for a period of time
    -   optimization – n. making something as good or as effective as possible
จากข่าวทั้งหมดจะพบคำศัพท์ที่ไม่รู็ความหมายเพียงไม่กี่คำ ทำให้ดิฉันสามารถอ่านและแปลความหมายได้อย่างไม่ติดขัด
          ในวันที่ 29 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการฟังเพลง Hello ของศิลปิน Adele เพลง wildest dreams ของศิลปิน Taylor Swift เพลง love me like you do ของศิลปิน Ellie Goulding และเพลง blank space ของศิลปิน Taylor Swift ก่อนที่จะไปร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ ” ในตอนเช้านั้น ในการอบรมครั้งนี้มีท่านวิทยากรชื่อดังมาบรรยายให้ความรู้ได้แก่  ผศ.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร และผู้บรรยายอีกสามท่าน ในการอบรมครั้งนี้นอกจากมีนักศึกษาคณะครุศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษทั้งสองห้อง จำนวนเกือบ 60 คนเข้าร่วมแล้ว ยังมีคระครูอาจารย์จากสถานศึกษาต่างสถาบัน ทั้งสถานศึกษาระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงบุคคลอื่น ๆ อีกมานที่สนใจได้เข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้  ทำให้ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ในการอบรมเชิงปฏิบัติการ “ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ ” จัดขึ้น ณ ห้องประชุมพรหมโยคี ชั้น 4 อาคาร 19 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ใช้เวลาในการอบรมเป็นเวลาสองวัน คือวันที่ 29-30 ตุลาคม 2558 เวลา 08.30-16.00 น.
          ในการอบรมทั้งสองวันนี้ ดิฉันได้เข้าร่วมทั้งสองวัน และจากการที่ได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ทำให้ได้ทั้งความรู็และข้อคิดดีๆ มากมายสำหรับเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ ซึ่งดิฉันสามารถนำความรู็เหล่านี้าประยุกต์ใช้ในการเรียนและนำไปใช้ได้จริงเมื่อจบการศึกษาออกไปเป็นครูในอนาคต จากการอบรมครั้งนี้ดิฉันสามารถสรุปความรู้จาการอบรมได้ดังนี้
          สิ่งที่ได้จากการอบรมวันที่ 29  ตุลาคม2558 (ภาคเช้า) พิธีกรได้พูดถึงความสำคัญของภาษาอังกฤาที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต และความสำคัญของภาษาอังกฤษที่ทวีคูณความสำคัญมากขึ้นและก็ในตอนเช้าหลังจากการกล่าวเปิดงานและต้อนรับวิทยากร โดยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมในนามสมาคมครูสอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย (Thailand TESOL) โดย ผศ.ดร.ประกาศิต สิทธิ์ธิติกุล นายกสมาคมครูสอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทยได้มีการเสวนาวิชาการงานวิจัย ในหัวข้อ Beyond Language Learning โดยมีผู้ร่วมเสวนาจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ ดร.สุจินต์ หนูแก้ว, อาจารย์สุนทร บุญแก้ว และผศ.ดร.ประกาศิต สิทธิ์ธิติกุล ทำให้ทราบว่า ในการเรียนการสอยสมัยนี้ได้เกิดความเสมอภาคระหว่างครูและนักเรียน โดยที่ครูและนักเรียนสามารถเป็นได้ทั้งผู้นำ (Leader)และผู้ตาม (Follower) ไม่ว่าครูหรือนักเรียนสามารถแนะนำความรู้ใหม่ๆได้เสมอ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นครูเท่านั้นที่ให้ความรู้ได้ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้การศึกษาจะใช้หลักการ 5 C เป็นสำคัญ ในการเรียนการสอนนั้น ได้แก่
      C1 = Communicate ทักษะทางด้านการสื่อสาร 
      C2 = Culture ทักษะด้านความเข้าใจในวัฒนธรรม 
      C3 = Connection ทักษะการเชื่อมโยง
      C4 = Comparison ทักษะการเปรียบเทียบ 
      C5 = Community
แต่ภายหลังมานี้ จากการวิจัยแล้วพบว่า เพียงแค่  5 C จะไม่สามารถพัฒนาบุคคลด้านการเรียนได้เลย ในศตวรรตที่ 21 นี้ จำเป็นต้องมีทักษะการเรียนทั้งหมด 7C ด้วยกัน ซึ่งได้แก่ 
      C1 = Critical Thinking and Problems (ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา)
      C2 = Creativity and Innovation (ทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม)
      C3 = Cross-culture understanding (ทักษะความเข้าใจความต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนการ)
      C4 = Collaboration Teamwork and leadership (ทักษะความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและการเป็น                    ผู้นำ)
      C5 = Communication Information medication (ทักษะด้านการสื่อสารสนเทศและรู้เท่าทัน) 
      C6 = Compute ring and listening  (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และการฟัง)
      C7 = Career and learning skill (ทักษะอาชีพและการเรียนรู้)
ทั้ง 7C นี้จะสามารถพัฒนาบุคคลด้านต่าง ๆ ได้ดีกว่าแลเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น จากการอบรมนี้ทำให้เห็นถึงการเรียนรู้ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับครูผู้สอนว่าจะมีวิธีการสอนอย่างไรให้เด็กเกิดการพัฒนามากที่สุด และเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
          และอีกเรื่องที่ท่านวิทยากรทั้งสามได้เสวนา ได้แก่เรื่อง แนวคิดทักษะแห่งอนาคตใหม่ คือการเรียนรู้ในศตวรรตที่ 21 เป็นการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์การจัดการเรียนรู้โดยร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรตที่ 21 โดยเน้นองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียน เพื่อที่จะพัฒนาตนเองได้และสามารถใช้ในการดำเนินชีวิตได้ต่อไปในยุคสมัยใหม่ ๆ โดยจะอ้างถถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามากจากเครืองข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรตที่ 21 นี้ และจะสอดคล้องกับการเรียนการสอนยุคใหม่ หรือ MT นั้นเอง ซึ่ง MT นี้ก็คือ Multiple intelligent  หมายถึง การออกแบบในแต่ละครั้ง ครูต้องคำนึงถึงความสามารถของผู้เรียน ต้องออกแบบบทเรียนให้สอดคล้องกับความรู้และความสามารถของเด็กแต่ละคนให้ครบทุกด้าน ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการจัดการเรียนการสอน
          หลังจากนั้นได้เปลี่ยนประเด็นมาพูดถึง  Critical Thinking  Skill แต่หากผู้ที่สามารถวิเคราะห์ได้นั้น เขาจะตัดสินใจได้ว่าจะทำแบบนั้นเพราะอะไร มีผลดี ผลเสียอย่างไรบ้าง เกิดการวิเคราะห์ มีทักษะชีวิต หรือ life skill ถ้าผู้เรียนคิดได้หลากหลายเเสดงว่าเขามี creative  แต่ในการ  creative  นั้นจะต้องมี Critical Thinking  Skill  ด้วย เพื่อที่จะสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลที่สุด  หลังจากจะเกิดเป็นผลดีแก่ตัวผู้เรียนเองทั้งหมด หลังจากี่พูดเรื่องนี้จบแล้วท่า่นได้ยกประเด็น Innovation มาพูดชี้แจงองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ซึ่งได้แก่ New    Different    Better  คือ นวัตกรรมจะต้องมีความทันสมัย เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา และต้องแตกต่างจากของเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องดีกว่าเดิมด้วย นั่นคือ การผลิตใหม่ที่ให้ความแตกต่างและต้องเป็นนวัตกรรมที่ดีกว่าของเดิมที่มีอยู่แล้วนั่นเอง
          และพูดในหัวข้อ High Thinking  Skill หรือความคิดขั้นสูงนั่นเอง ซึ่งก็คือ ความคิดในระดับที่สูงกว่าปกติ คือการคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน คำนึงถึงทุกรายละเอียดอย่างรอบคอบ ซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  Analyzing เป็นการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์จะมีขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
   1. การบูรณาการจัดกิจกรรมในห้องเรียน
   2. มีการจัดกลุ่มและจำแนก
   3. การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ความเหมือนและความขัดแย้ง
   4. การวิเคราะห์ตามสภาพข้อเท็จจริง
   5. การทำนายอนาคต การคาดคะเน การเดา  ซึ่งทั้งสามตัวนี้มีความต่างกัน
ทั้ง 5 ขั้นตอนี้เป็นการบูรณการความคิดเเบบ High Thinking  Skill
          จากการฟังเสวนาในหัวข้อ  Beyond Language Learning  ในครั้งนี้ สามารถอธิบายรายละเอียดของการสอบภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ ทักษะ 7 C ,การเรียนรู้ในศตวรรตที่ 21, Critical Thinking  Skill และ High Thinking  Skill  ได้อย่างชัดเจน อธิบายหลักการต่าง ๆ น่าสนใจ และมีการนำตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ชั้นปีที่ 1 สาขาการท่องเเที่ยว ที่ไปทัศนศึกษาประเทศสิงคโปร์  เป็นเวลา 3 เดือน โดยที่นักศึกษาจะไม่ได้รับการดูแลใดใดในการใช้ชีวิต นักศึกษาจะต้องวางแผนการดำเนินชีวิตของเขาเอง มายกตัวอย่างให้เกี่ยวกับโครงการดี ๆ ที่ช่วยในการพัฒนาทักษะต่าง ๆ รวมถึงทักษะทางภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งจากการฟังเรื่องบรรยายต่าง ๆ ทำให้เกิดความคิดว่า หากทุกมหาลัยมีโครงการดี ๆ แบบนี้ นักศึกษาก็คงจะเก่งภาษากันหมดแล้ว และนอกจากนี้ หลังการเรียนการสอนในหัวข้อต่าง ๆ ที่ได้เสวนา ยังทำให้ดิฉันเกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถนำแนงทางจากการอบรมมาประยุกต์ใช้ในอนาคตได้
          ในภาคบ่ายของการอบรม แน่นอนว่าบรรยากาศในการอบรมนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกง่วง ดังคำพูดที่ว่า หนังพุงตึง หนังตาหย่อน ท่านวิทยาการในภาคบ่ายนี้ ได้แก่ ผศ.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร  ท่านวิทยากรรู้ปัญหา จึงไม่เน้นเนื้อหามากนัก แต่จะเน้นการทำกิจกรรม เพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมผบรมเบื่อและเกิดอาการง่วงนอน ซึง่เกมส์ที่ผู้บรรยายนำมาใช้ก็ยังคงมัเนื้อหาเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับเนื้อหาที่อบรม เกมส์ที่ใช้ได้แก่ เกมส์ คอสเวิร์ด คือการหาคำศัพท์จากตังอักษาที่อยู่ใกล้กัน ใครหาได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดก็จะได้รับรางวัล ซึ่งถือเป็นการเสริงแรงเด็กในการทำกิจกรรม จากการเล่นเกมส์นี้ทำให้ทุกคนมีความกระตือรือร้นที่จะตอบมาก ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที แต่หลัง ๆจะสังเกตได้ว่าคนเล่ยจะเริ่มน้อยลงเพราะใช้เวลานานเกินไป ทำให้น่าเบื่อ จากการเล่นเกมส์นี้ ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์มากขึ้น รวมทั้งคำที่เป็นอักษรย่อด้วย นอกจากคำศัพท์แล้ว เกมส์นี้ยังทำให้ดิฉันได้ฝึกการสังเกต การหาคำศัพท์ด้วยความว่องไวในเวลาที่จำกัด ทำให้เป็นคนช่างสังเกต มีไหวพริบ สามารถทบทวนคำศัพท์เดิม และเกิดคำศัพท์ใหม่ด้วย และสามารถแชร์คำศัพท์กับผู้อื่นได้ด้วย
          หลังจากที่เล่นเกมส์จบเเล้ว ท่านวิทยากรได้พูดถึง 10 ภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก ซึ่งภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดได้แก่ภาษา Mandarin ภาษาที่สองได้แก่  Hindi หรือ Urdu  ภาษาที่สาม ได้แก่ Spanish  ภาษาที่สี่ได้แก่  English  ภาษาที่ห้าได้แก่  Arabic ภาษาที่หกได้แก่  Portuguese ภาษาที่เจ็ด ได้แก่ Beng ali ภาษาที่แปดได้แก่ Russian ภาษาที่เก้าได้แก่  Japanese และภาษาที่สุดท้ายได้แก่  Punjabi จากสถิตินี้จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษจะอยู่ในลำดับที่ 4 จาก 10 ภาษา ดังนั้นการทีเราศึกษาภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ และหลังจากที่พูดถึง 10 ภาษานี้แล้ว  ท่านวิทยากรได้พูดถึงคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เป็นคำทับศัพท์ เช่นคำว่า chill chill , out , over , jam ,back , noy รวมทั้งคำศํพท์ติดปากที่ไม่มีอยู่ในพจนานุกรม ได้แก่คำว่า ชุดแซก ,american share เป็นต้น และก็ยี่ห้อต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
          ปัจจัยที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลง มี 3 ปัจจัย ได้แก่ Basic-Human-Needs สิ่งสำคัญที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนมากที่สุดก็คือ WIFI คือตัว wifi  จะเป็นตัวเชื่อมต่อกับสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมนยุคสมัยนี้ มีการแชทออนไลน์  Line , Facebook , Tango และอื่น ๆ อีกมากมาย จะทำมห้เกิดภาษาแปลก ๆ คำศัพท์แปลก ๆ ขึ้นมาและเข้าใจกันเองภายในกลุ่มแต่ผิดทางภาษา โดยที่ภาษาทางอินเตอร์เน็ตนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัดเจน จะมีการสะกดคำในรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่มาตรฐานเดิม ทั้งการลด สะกดคำผิด การเสริมคำ ต่าง ๆ มากมาย ทำให้ภาษาที่ใช้จริงในพจนานุกรมถูกลืมและกลับมองข้ามไป จนไม่สามารถกลับมาใช้ศัพท์เดิมได้อีก เพราะเกิดจากความเคยชินที่ใช้ภาษาผิด ๆ
          หลังจากนั้นท่านวิทยากรได้พูดถึงเรื่องการออกเสียง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการพูดติดต่อสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ และเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการพูดออกมาเเล้วสำเนียงเหมือนกับภาษานั้น ๆคนอื่นเข้าใจง่าย ซึ่งการออกเสียงที่ดีนั้นจ้องอาศัยอวัยวะต่าง ๆ ในการออกเสียง นั่นก็คือ ปอด ปุ่มเหงือก ลิ้น ฟันบน ฟันล่าง ริมฝีปาก  และส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย โดยทางวิทยากรได้สอนอวัยวะในการออกเสียงและได้อธิบายอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็ได้ฝึกการออกเสียงในกลุ่มต่าง ๆ คือ place of articulation , manner of articulation  และการออกเสียง voiced and voiceless ท่านวิทยากรได้ยกตัวอย่างคำให้ฝึกออกเสียง เช่นคำว่า pen , book , town , day , cat , moon , name , sing , zoo และคำอื่น ๆ อีกมาก หลังจากนั้นได้พูดถึง Phonology การเน้นเสียง stress ได้อ่านตามคพที่แกยกตัวอย่างมา ได้แก่คำว่า  photograph , pencil, society เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้สามารถ stress ได้หลายแบบ   จากการฝึกออกเสียงในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าทุกเสียงนั้นมีที่มาต่างกัน บางเสียงขับออกมาด้วยริมฝีปาก บางเสียงถูกขับออกมาด้วยฟัน เป็นต้น ทำให้ดิฉันรู้แหล่งการเกิดเสียงและเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
          จากการอบรมในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ทำให้ดิฉันรู้ว่าการเรียนรู้ในศตวรรตที่ 21 นั้นจะมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการติดต่อสื่อสาร และจำเป็นที่จะต้องบูรณาการทักษะต่าง ๆ ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียนไปในการจัดการเรียนการสอนด้วย นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้แหล่งที่มาและองค์ประกอบของการเกิดเสียงอีกด้วย ทำให้เกิดทักษะการพูดที่ดีขึ้น สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ได้และทำให้ดิฉันสามารถออกเสียงได้ถูกต้อง และสามารถนำความรู็ที่ได้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในการเรียนตอนนี้และในการสอนในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น จากการอบรมภาษาอังกฤษเชิงบูรณาการในวันนี้ ทำให้ดิฉันได้รับความรู้ หละกการ เทคนิคการสอน และยังได้ความสัมพันธ์ที่ดี และได้พบเจอพูดคุยกับครูอาจารย์โดยตรงอีกด้วย ทำให้รู้ประสบการณ์ที่ท่านได้นำมาเล่าสู่กันฟัง
          ในวันที่ 30 ตุลาคม ดิฉันได้เข้าร่วมอบรมอีกหนึ่งวัน ในตอนเช้าท่า่นวิทยากร ผศ.ดร. ศิตา เยี่ยมขันติถาวร ได้ชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรตที่ 21 พูดถึงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่อดีต  การเรียนการสอนในศตวรรตที่ 21 และกลวิธีการสอนภาษาในปัจจุบัน ได้แก่ วิธีการสอนแบบไวยากรณ์และการแปล จะไม่เน้นการฟังและการพูด แต่จะเน้นด้านไวยากรณ์และการแปล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอ่านตำราได้อย่างคล่องแคล่ว วิธีการสอบแบบตรง เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนสื่อสารด้วยภาษาที่เรีน เป็นการให้ผู้เรียนฝึกฟังความหมายในประโยคและบทสนทนาได้ วิธีการสอบแบบฟัง-พูด ครูเน้นการฟัง - พูด โดยให้นักเรียนเลียนแบบเสียงของผู้สอยจนเข้าใจ เน้าการท่องจำบทสนทนา แล้วจึงเริ่มการฝึกอ่านและเขียน วิธีการสอบแบบเงียบ วิธีการสอบแบบธรรมชาติ วิธีการสอนแบบชักชวน วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง การเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู็แบบเน้นภาระงาน การเรียนรู้จากการทำโครงงาน แนวการสอนแบบกำหนดสถานการณ์ แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร การอสนที่เน้นสาระการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
          หลังจากนั้นได้พูดถึง การศึกษาในศตวรรตที่ 21 ซึ่งจะมีองค์ความรู้หลักดังนี้ ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาแม่ , ทักษะการอ่าน , ทักษะการใช้ภาษาอื่น ๆ , ภาษาต่างประเทศ , ศิลปะ , คณิตศาสตร์ , วิทยาศาสตร์ , เศรษฐศาสตร์ , ภูมิศาสตร์ , ประวัติศาสตร์ , การปกครองและหน้าที่พลเมือง , สาขากลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ และวิธีการดำเนินชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต รวมทั้งสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญในศตวรรตที่ 21 ที่จำเป็นต้องบูรณาการในการเรียนการสอน จำแนกออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่
      1.  ความตระหนักเกี่ยวกับโลก
      2.  ความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ
      3.  ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่พลเมือง
      4.  คสามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพ
      5.  ความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม
ต้องบูรณาการผสานในการเรียนการสอนในความรู้วิชาหลักควบคู่กับ 5 ประเด็นสำคัญในศตวรรตที่ 21
          การศึกษาในศตวรรตที่ 21 เป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม จะมีหลักการดังนี้ ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม , ความคิดเชิงวิพากษ์ , การแก้ไขปัญหา , การสื่อสารและการร่วมมือ ท่านวิทยากรได้พูดถึงปฎิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO ที่ว่า Learning to know  Learning to do  Learning to live with the others และ  Learning to be ให้ฟังอย่างชัดเจนและน่าสนใจ หลังจากนั้นได้ร่วมกันตอบคำถามที่ท่านวิทยากรถามจำนวน 2 ข้อ และนำมาวิเคราะห์กัน หลังจากนั้นท่านได้พูดถึง ครูในศตวรรตที่ 21 ว่าควรมีลักษณะอย่างไร คือ ครูจะต้องสนใจเทคโนโลยีต่าง ๆ มีการปรับการเรียนการสอนอยา่งบูรณาการ มีนวัตกรรม ICT ที่มีคุณภาพโดยใช้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า Social networks นั่นเอง นำมาสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนในปัจจุบัน
          หลังจากนั้นในช่วงบ่ายท่านวิทยากรได้พูดถึง The Flipped classroom เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่กำลังเป็นที่นิยม โดยครูจะสอนแต่สิ่งที่สำคัญแล้วให้นักเรียนฝึกต่อยอดองค์ความรู้ เปลี่ยนการสอนจากครูเป็นหลักให้เป็นนักเรียนเป๋นหลัก โดยครูจะปรับบทบาทเป็น coach เพื่อให้เด็กได้ฝึกปฎิบัติจริง และเกิดความรู้แบบ active learning และพูดถึง ต้นกำเนิดของการเรียนกลับด้าน หรือ The Flipped classroom จนมาถึงปัจจุบันที่ได้เเพร่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อจบการบรรยายแล้วท่านวิทยากรได้นำเกมส์มาใช้ในการอบรมและบูรณาการกับการเรียนการสอน เพราะในช่วงบ่าย ผู้เข้าร่วมอบรมเริ่มเบื่อหน่าย ไม่สนใจ และเกิดอาการง่วงนอน ท่านวิทยากรได้พูดเกริ่นเรื่องเกมส์กับการบูรณาการการเรียนการสอบและให้เล่นเกมส์
          เกมส์ที่ได้เล่นคือ เกมส์ Tic Tac Toe ผู้เล่นนจะแบ่งออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ และกำหนดการเล่น เป็นการเป่าฉิ่งชุป ตามเพลง เป้นท่าทางประกอบเพลง เพื่อปลุกและกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมอบรมเกิดความสนใจ เกมส์นี้เริ่มเล่นจากคู่สองคน จากนั้นจะค่อย ๆ หากลุ่มจากคนที่เเพ้จะต้องมาอยู่กับฝ่ายที่ชนะ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือคู่สุดท้าย ปลายแถวก็จะยาว มาต่อสู้กันเพื่อค้นหาผู้ชนะ จากการเล่นเกมส์นี้ ผู้เล่นต้องอาศัยทักษะความว่องไว คงบคู่กับการมีสมาธิ และสิ่งที่ได้จากการเล่นเกมส์นี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกัน ระหว่างทีม ทำให้ผู้เล่นเกิดความสามัคคีปรองดอง และถือเป็นเกมส์ที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักกันอีกด้วย เหมาะแก่การทำความร้จักกันและฝึกความสัคคีภายในทีม
          เกมส์ที่สองที่ได้เล่น คือเกมส์ โยนบอล ดดยจะมีลูกบอลจำนวน 20 ลูกให้ผู้เล่นโยนไปให้ผู้อื่นตามเพลง หากเพลงหยุด และลูกบอลอยู่ที่ใคร คนนั้นจะต้องออกไปร่วมกิจกรรมด้านหน้าเมื่อได้ผู้เล่น 20 คนที่ถือลูกบอลไว้หลังจากเพลงจบแล้ว ท่านวิทยากรให้ทั้ง 20 คน แต่งนิทานคนละ 1 ประโยค และให้จบเป็น  1 เรื่อง ภายใน 20 ประโยคนั้น จากนั้นก็เริ่มแต่งนิทานกันอย่างสนุกสนานโโยเรื่องที่แต่งนั้นก็จำเป็นต้องต่อมากจากคนก่อนหน้าและจบลงในคนที่ 20 ดังนั้น ทุกคนที่แต่งนิทานจะต้องใช้ไหวพริบในการแต่งประโยคภายในเวลาน้อยนิดให้สอดคล้องเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ หลังจากที่นิทานได้ถูกแต่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว ท่านวิทยากรได้แบ่งกลุ่มให้แต่ละกลุ่มช่วยกันวาดภาพจากนิทานที่แจ่งขึ้นมาภายในเวลา 15 นาที
          กลุ่มของดิฉันได้แบ่งหน้าที่กัน วางแผนก่อนวาดภาพ ว่าใครทำอะไร อย่างไร แล้วลงมือปฏิบัติ หลังจากที่วาดภาพเสร็จได้ออกไปบรรยายเรื่องหน้าห้อง โดยส่งตัวแทนกลุ่ม 2-3 คนแต่ท่านวิทยากรได้ให้กฏการบรรยายภาพว่า จะต้องบรรยายเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องโดยใช้เพียง 3 ประโยคเท่านั้นในการบรรยาย ผู้บรรยายจะต้องมีสมาธิรวบรวมสรุปเรื่องราวให้ไดเจาก 20 ประโยค สรุปให้เหลือเพียง 3 ประโยค ต้องใช้ไหวพริบว่องไวในการคิดด้วย หลังจากที่นำเสนอ 3 ประโยคเสร็จแล้วได้มีการโหวดภาพให้คะแนนกลุ่มที่วาดภาพสวย และสรุปเรื่องได้ดีด้วย ซึ่งดิฉันคิดว่าดีทุกกลุ่ม แต่บางกลุ่มยังมีข้อบกพร่องอยู่ด้วยเช่นกัน ผู้ที่ได้รัรบคะแนนโหวดมากที่สุดฏ้จะได้รับของรางวัลไป
          เกมส์สุดท้ายที่เล่น คือเกมส์ฟังนิทานและหาคำนามในนิทาน และจะต้องตีมือเพื่อนข้าง ๆ หากได้ยินคำนามด้วย แน่นอนว่าเกมส์นี้ต้องอาศัยความว่องไวอย่างแน่นอน ผู้เล่นจะต้องฟังนิทานจากวิทยากร และหากมีคำนามต้องหลักมือไม่ไห้เพื่อนตีได้ ซึ่งเกมส์นี้อาศัยความว่องไว  ความมรสมาธิ และทักษะการฟังเป็นสำคัญ เมื่อนิทานจบท่านวิทยากรได้ถามว่านิทานเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ไม่มีใครสามารถตอบได้ เนื่องจากทุกคนมัวตั้งใจฟังคำนามเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจเนื้อเรื่อง ทำให้ดิฉันคิดว่า เมื่อเราทพอะไร เาจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นจนลืมมองดูอีกสิ่งหนึ่งไปในขณะเดียวกัน หลังกจากเกมส์นี้จบก็จะเป็นการมอบเกียรติบัตรและปิดการอบรมในครั้งนี้
          จากการอบรมภาษาอังกฤษเชิงบูรณาการและการประยกต์ใช้ โดย ผศ.ดร. ศิตา เยี่ยมขันติถาวร และผู้เสวนา ดร.ประกาศิต สิทธิ์ธิติกุล นายกสมาคมครูสอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย และผู้ร่วมเสวนาอีก 2 ท่าน ดรฬสุจินต์ หนูเเก้ว และ อาจารย์สุนทร บุญแก้ว  ในวันที่ 29 - 30 ตุลาคม 2558 นี้ ทำใก้ดิฉันเกิดความรู้มากมาย เกี่ยวกับการสอบภาษาอังกฤษในหัวข้อต่าง ๆ เกิดความรู้ ความสนุกสนาน สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคตได้ ไม่วาจะเป็นการสอบคำศัพท์ คำศัพท์ต่าง ๆ เกมส์ วัฒนธรรมต่างชาติ การออกเสียง การสอนแบบ Role play วิธีการสอบในศตวรรตที่ 21 การสอนภาษาอังกฤษในศตวรรตที่ 21 และบทบาทครูภาษาอังกฤษในอนาคต นอกจากนี้ยังได้ความรู้ที่จะนำเกมส์ต่าง ๆมาใช้ในการเรียนการสอน ในการอบรมครั้งนี้ช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆของดิฉันหลายด้านไม่วาจะเป็นทักษะการฟัง การคิด การมีสมาะฺ และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับ ดิฉันคิดว่า การอบรมครั้งนี้สามารถพัฒนาทักษะกระบวนการคิดของดิฉันได้อย่างดี รวมถึงคณะครูอาจารย์และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านที่สามารถนำความรู้ไปสอยเด็ก ๆ ของท่านได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย การอบรมนี้เป็นกิจกรรมทีดี และมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เหมาะสมกับผู้ที่สนใจภาษาและครูอาจารย์ทุกท่านอีกด้วย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 20 ตุลาคม

สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน



         ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นอย่างมาก และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากิจกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญในการช่วยการจัดการศึกษาให้บรรลุอุดมการณ์ทาทงการศึกษาอีกด้วย ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิต และเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิตไปแล้วในสมัยนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่นการติดต่อสื่อสาร การเดินทาง การค้าขาย ข่าวสารต่าง ๆ การพักผ่อนหย่อนใจ และทางด้านการศึกษาที่มีแหล่งเรียนรู้มากขึ้น และทำให้การศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น นักเรียนสมัยใหม่ ก็ล้วนแต่ใช้เทคโนโลยีเพื่อแสวงหาความรู้ เพราะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สะดวกสบาย ง่าย และประหยัดเวลาอีกด้วย ดิฉันซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู็และการพักผ่อนจนกลายเป็นคนติดเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้ โดยดิฉันจะใช้เวลาว่างจากการเรียนมาเล่นมือถือบ่อยมาก จนคิดหาวิธีการเรียนจากมือถือ จึงเริ่มใช้เวลาว่างมาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน
         ในวันที่ 21 ตุลาคม ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยที่เล่นเกมส์ทางคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จะเป็นเกมส์ที่มีคำศัพท์ง่าย ๆ จะมีรูปภาพและตัวอย่างประโยคขึ้นมาให้สะสมคำ พิมพ์คำศัพท์ลงไป ถ้าตอบถูกก็จะมีการแปลความหมายให้ ซึ่งเป็นเกมส์ฝึกสมอง สุดมัน จะมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งเป็นเกมส์ฝึกสมองที่ดี ช่วยในการสะสมคำ มีรูปภาพ มีความหมาย เนื้อหาชัดเเจน ง่ายต่อการเรียนรู้และฝึกฝน มีสีสันน่าสนใจ ซึ่งดิฉันได้เริ่มเล่นเกมส์นี้ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว ในระดับเริ่มแรก level 1 จนถึงวันนี้ดิฉันได้เล่นต่อใน level 35 ต่อเนื่องจากที่เล่นมาแล้ว ทำให้รอบนี้คำศัพท์ยากขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้ดิฉันเล่นได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะคำศัพท์ส่วนใหญ่ยากและเป็นคำหลายพยางค์ ซึ่งดิฉฉํนเองก็ไม่แน่นเรื่องคำศัพท์อยู่แล้ว ทำให้เล่นไม่ได้ แต่ลองสะคมคำมั่ว ๆ ดู ทำให้เกิดคำศัพท์ขึ้นมา เกิดความรู้ศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยรู็อีกแบบหนึ่ง จากการฝึกทักษะคำศัพท์จากการเล่นเกมส์นี้ทำให้ดิฉันได้ทบทวนคำศัพท์เก่า ๆ ได้ฝึกสะสมคำ ทบทวน และได้สะสมคำใหม่่ขึ้นมาจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็ทำให้เกิดศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากเล่นเกมส์ผ่อนคลายแล้วยังเกิดความรู้อีกด้วย
         หลังจากที่เล่นเกมส์แล้วดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง จากการฟังเพลง ซึ่งเพลงที่ฟังได้แก่เพลง stay with me - Sam Smith ทำนองเพลงนี้จะเป็นทำนองเพลงช้า ๆ มีอารมณ์เศร้า ฟังง่าย สำเนียงชัดเจน ในเนื้อเพลงจีมประโยคที่ว่า stay with me เป็นประโยคเด่น ต้องการให้คนรักอยู่กับเขา อารมณ์คิดถึงว่าทำไมตนเองต้องรู้สึกแบบนี้ ซึ่งใช้ประโยคที่ว่า  why am i so emotional ในเนื้อเพลงจะใช้ present tense ทั้งหมด เพราะพูดถึงอนาคตที่เป็นอยู๋ เช่นประโยคที่ว่า  I still need love, will you hold my hand , It clear to see เป็นต้น เมื่อดิฉันฟังเพลงนี้จบแล้ว ทำมห้รู้สึกคิดถึง อยากให้เขามาอยู่ด้วยกัน อารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อเพลง ซึ่งคิดว่าคนเหงา ๆ คงจะชอบฟังเพลงแนวอกหัก เศร้า ๆ แบบนี้ 
         เพลงที่สองที่ฟัง คือเพลง  I want you to know ของศิลปิน Zedd ft กับ Selena Gomez เป็นเพลงที่ดนตรีทำนองสนุกสนาน ฟังเเล้วรู้สึกครึกครื่น ดนตรีมันส์ เพลงสื่อออกมาในเชิงที่ต้องการบอกให้ใครคนหนึ่งรับรู็ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา โดยใช้ประโยคที่ว่า I want you to know that it'sour time เป็นเพลงที่เหมาะกับคนที่มีความรัก แสดงออกถึงความรักและอยากให้รับรู้ จากการที่ฝึกทักษะการฟังจากการฟังเพลงนั้นทำให้ดิฉันฟังเนื้อเพลงและจับคำพูดในเพลงจนสามารถตีความหมายของเนื้อเพลงได้ และเข้าใจเนื้อเพลงที่ต้องการสื่ออย่างเเท้จริง 
         วันที่ 22 ตุลาคม ดิฉันได้อ่านข่าวจาก http://www.bangkokpost.com/learning/really easy/749728/bangkok-happy-tuk-tuk โดยมีเนื้อข่าวเรื่อง Bangkok's happy tuk-tuk เนื้อข่าวกล่าวว่า Traffic police at the Samran Rat police station in Bangkok have their own special vehicle. It even has its own name: 'Jaa Tuk Samran'  That is because it really is a tuk-tuk that has been painted to look like a trafficsergeant.From morning until evening, Jaa Tuk can been seen patrolling the streets near the police station and even giving people free rides if they need them.Not surprisingly, Jaa Tuk has become very popular with tourists and passersby who want to have their photos taken with the police tuk-tuk. จากการอ่านข่าวนี้แล้ว ทำให้ดิฉํนลองฝึกแปลเพื่อทำความเข้าใจ พบว่าสามารถแปลได้ แต่มีคำศัพท์บางคำที่ไม่รู้ความหมาย เช่นคำว่า sergeant เมื่อหาความหมายแล้วแปลว่า จ่า, นายสิบ surprisingly แปลว่า อย่างแปลกใจ, อย่างประหลาดใจ passersby แปลว่า ผู้คนผ่านไปมาตามถนน หลังจากที่หาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้แล้ว ก็ลองแปลดู ทำให้เข้าใจได้ว่า ในกรุงเทพฯ มีสถานีตำรวจสำราญราษฎร์ ได้จำทำรถตุ๊กตุ๊กขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า จ่าตุ๊กตุ๊ก ใช้รับส่งประชาชน รถมีลักษณะเหมือืนกับสีจราจร ให้บริการตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ จะอยู่บริเวณรอบ ๆ และใกล้สถานีตำรวจ หากใครต้องการขี่ฟรีก็ได้ ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมของคนที่ผ่านไปผ่านมาและนักท่องเที่ยวในการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นอย่างมาก หลังจากที่อ่านสรุปใจความแล้ว หากผู้ใดต้องการฟังข่าวนี้ ก็จะมีไฟล์เสียงไว้ให้ฟังด้วยหากต้องการ ในการอ่านข่าวนี้ทำให้ดิฉันรู้เกี่ยวกับข่าวสารบ้านเมือง เป็นคนที่ทันสถาการณ์ รู้คำศัพท์ต่าง ๆ ในข่าว และฝึกการแปลอีกด้วย
          ในวันที่ 23 ตุลาคม ดิฉันได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการฝึกษาอังกฤษทั้ง 4 skills จาก http://www.fast-english.com/?ContentID=ContentID-090131104717304 จากการศึกษาทำให้ทราบว่าการฝึก Speaking skill เวลาพูด ให้สร้างประโยคด้วย S+V+O และหากมี Conjunction ก็ต้องเตรียม 2 ประโยคทันที ต้องจำหลัก Grammar 25 กฎได้อย่างคล่องแคล่ว และจำ Structure ย่อย ได้อย่างอัตโนมัติ ต้องสร้างฐานศัพท์ให้มากเพียงพอที่จะแปลงความคิดจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษได้ ในใจต้องมีความอยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ พยายามหา supporting ideas มาสนับสนุน idea ของเรา เวลาพูดจริงๆ ให้มี Sensation หรือประสาทรับความรู้สึก พยายามยิ้มเวลาพูดจะทำให่เราไมม่กังวลระหว่างพูด ให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่พูดเพ้อเจ้อ และการพูดนี้ ควรได้รับการฝึกฝนบ่อย ๆ และเช็คดูว่า Grammar และStructure ถูกต้องแล้วหรือยัง
          วิธีฝึก Listening skill การฟังมี 2 แบบคือ ฟังแบบจับใจความ (Macro)และฟังการออกเสียงสำเนียง (Micro) ให้เริ่มจากการจับใจความก่อน เมื่อคล่องบวกกับเริ่มมั่นใจว่าฟังออกแล้ว ถึงเริ่ม focus on pronunciation ให้ฝึกออกเสียงตามคำที่ได้ยิน โดยฝึกฟังจากไฟล์เสียงต่าง ๆ เพลง หรือ หนังก็ได้ ต้องสร้างฐานศัพท์ก่อน มิฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาพูดอะไร และจับ Key Words ในการพูดให้ได้ เพื่อจะได้ปะติดปะต่อเรื่องและเข้าใจความรู้สึกของผู้พูด แต่วิธีที่ฝึกได้ด้วยตนเองก็คือการฟัง เพลงสากล ดูหนังฝรั่ง ฟังข่าวสารคดี หรือข่าว CNN โดยไม่อ่าน Subtitle ฟังวันละ 30 นาทีเพื่อสร้างความเคยชิน หรืออาจะมากกว่านั้นเเล้วแต่ความสะดวก  แต่การฟังที่ดีนั้น ผู้ฝันก็ควรจะออกเสียงตามไปด้วยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มากขึ้น
          วิธีฝึก Reading Skill จะต้องประยุกต์ ศัพท์และ Grammar รวมทั้ง Structure เพื่อสร้างภาพ แสง สี เสียง และความรู้สึกตามผู้เขียนไปด้วย ถ้าศัพท์ไม่พอ ภาพไม่เกิด หรือมัวเหลือเกิน grammar ไม่แม่น ยิ่งอ่านยิ่งงง ไม่รู้อันไหนประโยคหลัก ประโยครอง เน้นหรือไม่เน้น ฉะนั้นต้อง build a solid foundation of grammar and vocabulary เวลาที่อ่านแต่ละประโยค และแต่ละบรรทัดเป็นการ Add ข้อมูลให้ภาพในใจของเราชัดเจนกับหนังที่ฉายต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเรามีมโนภาพเราจะจำเนื้อเรื่องได้เอง และจะรู้สึกว่าตรงไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ ประเด็นหลักอยู่ตรงไหน และ เวลาเจอศัพท์ที่ไม่เคยเจอ ก็ให้เดาความหมายจากภาพ ถามต่อไปว่าเป็นความรู้สึกบวกหรือลบ ชื่นชมหรือวิจารณ์ ซึ่งปรับเรียกเท่ห์ๆว่าVocabulary in context ไม่มีอะไรมากนักหรอก
       การฝึก Writing Skill ประเด็นหลักหนึ่งประเด็นคืออะไรและมีเหตุผลอะไรชัดๆ 2-3 ประเด็นในการ support ประเด็นหลักการเขียน ต้องพยายามจูงให้คนอ่านเห็นคล้อยตามเรา ก่อนลงมือเขียนให้ Outline ด้วย key words หลักๆ เพื่อใช้เป็น supporting ideas ให้เป็นแนวทางในการเขียน ใช้แนวทางการแปลจากไทยเป็นภาษาอังกฤษที่อาจารย์สอนไทยชัด อังกฤษก็ชัด ทุกประโยคความคิดภาษาไทยฟังแล้วต้องเข้าใจทันที ห้ามกำกวมเพื่อโอกาสที่ภาษาอังกฤษจะออกมาชัดตามไปด้วย เวลาเขียนศัพท์และ grammar รวมทั้ง structure ต้อง flow มา automatically ต้องไม่คิดอีกแล้ว แค่ focus on idea presentation ล้วนๆ การเขียน paragraph แรกเป็น opening paragraph เป็นการเปิดประเด็น ส่วนอีกสัก 3 paragraphs ต่อมาจะลงในเรื่องรายละเอียดที่ support thesis statement ปิดท้ายด้วย conclusion ซึ่งไม่ควรเป็นการ repeat idea ใน opening paragraph แต่เป็นการสรุปโดยใช้ key words represent idea หลักๆ ของแต่ละ paragraph และอาจจะ insert อีกสักประโยคเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของ argument เรา การเขียนให้ระวังเรื่อง tense เป็นสำคัญ รูปประโยคให้ keep simple and clear เข้าไว้  จากการศึกษาทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ดิฉันสามารถนำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติเป็นแนวทางในการใช้ภาษาต่อไป
          ในวันที่ 24 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง http://www.listenaminute.com/ เรื่อง  Cars โดยอ่านบทความที่ให้มา 1 รอบแบบผ่า่น ๆ คร่าว ๆ หลังจากนั้นได้ฟังบทความเป็นจำนวน 1 รอบ แล้วทำแบบฝึกทดสอบการฟัง โดยการเติมคำในช่องว่าง ทำให้ดิฉันเติมได้เพียง บางคำ จึงกลับไปอ่านและฟังใหม่อีกครั้ง จึงกลับมาทำแบบฝึก ทำให้ทำแบบฝึกได้ 5 คะแนน  จากครังก่อนที่ไได้เพียง 3 คะแนน จาก ๅ0 คะแนน  เพราะบทความนี้ฟังยาก สำเนียงการพูดเร็วและมีการเชื่อมคำ ที่ฟังยาก ทำให้จับใจความไม่ได้  แต่หลังจากที่อ่านและฟังแล้ว ก้สามารถทำแบบทดสอบได้
          อีกเรื่องที่ฟังได้แก่เรื่อง Accidents เรื่องนี้เป็นคำศัพท์ง่าย สำเนียงการพูดฟังง่าย พูดไม่เร็วมาก และมีการออกเสียงที่ link คำ ได้ชัดเจน ง่ายต่อการฟัง หลังจากที่ฟัง 2 ครั้งแล้วทำให้ดิฉันไปทำแบบฝึกหัด ผลปรากฏว่า  สามารถทำแบบฝึกหัดได้ 10 คะแนนเต็ม  ซึ่งดิฉันคิดว่า เหตุผลที่ทำให้ทำแบบทดสอบได้นั้นคงเป็นเพราะคำศัพท์ง่าย และฟังเข้าใจบทความนั้น เมื่อทำแบบทดสอบจึงทำได้ถูกต้อง  ดังนั้นจึงทำให้ดิฉันรู้ว่าคำศัพท์ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าใจภาษา จะรู็ทักษะอื่น ๆ แต่ไม่รู้คำศัพท์ก็ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
           ในวันที่ 25 ตุลาคม ดิฉันฝึกทักษะจากการฟังจาก http://www.wegointer.com/2014/11/2000-stories/ เป็นเว็บไชต์ที่มีไฟล์เสียงเกือบ 2000 เรื่องให้เลือกฟัง เรื่องที่ดิฉันเลือกฟังคือ ชุดที่ 8 Short Stories for Low Intermediate English Learners มีจำนวนเรื่องทั้งหมด 265 เรื่องย่อย ดิฉันได้เลือกฟัง เรื่อง New to America เป็นไฟล๋เสียงที่ฟังง่าย  พูดช้า เข้าใจง่าย พูดถึง แนนซี่ ผู้ที่ย้ายเข้าไปอยู่ในอเมริกาและพูดภาษาบ้านเกิดของตนได้เท่านั้นเพราะยังเป็นเด็ก และเกิดเรื่องราววุ่น ๆ ที่อเมริกามากมาย หลังจากที่ฟังเสร็จแล้ว ดิฉํนไปอ่านเนื้อเรื่องและฝึกแปลทั้งบทความนี้อีกด้วย ทำให้เข้าใจมากยิ่งจึ้นและเกิดทักษะได้มากขึ้นเช่นกัน
          หลังจากที่ฝึกทักษะการฟังแล้ว ดิฉันเลือกที่จะศึกษาเรื่อง sports and games เพื่อหาข้อมูลมาใช้ในการเขียนแผนการสอน ในรายวิชาภาษาศาสตร์สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการสอบสอน ดังนั้นดิฉันจึงหาข้อมูลเพื่อเลือกสื่อการสอนรูปแบบต่าง ๆ เกี่ยวกับ  sports and games  ทำให้ดิฉันเจอวิดีโอเกี่ยวกับเพลงใน YouTube. เป็นเพลงสำหรับเด็ก ๆ ฟังง่าย สนุกสนาน มีภาพประกอบ สีสันสดใส เข้าใจง่าย น่าสนใจป็นอย่างมาก ทำให้ดิฉํนฟังจนจบเพลง และตัดสินใจใช้เพลงเป็ฯวื่อสารสอนและฝึกร้องเพลง sports and games ซึ่งดิฉันได้ฝึกร้องประมาณ 3-4 ครั้งทำให้ดิฉันร้องได้อย่างถูกต้องตามทำนอง แต่เเสียงไม่ไพเราะ จึงได้ฝึกร้องเรื่อยๆ จนสำเนียงดีขึ้นมาในที่สุด
          ในวันที่ 26 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการเรขียนจากการเขียน paragraph ในหัวข้อ computer and smartphone เขียนเป็น compare&contrast paragraph ก่อนที่จะลงมือเขียนได้มีการวาง outline นำคำเชื่อมต่าง ๆ มาใช้ ทำให้แต่งประโยคได้ประมาณ 10 ประโยค  และเมื่อเขียนเสร็จ นำมาตรวจ grammar พบว่า ส่วนมากแล้วจะเขียนผิด tense เป็นส่วนมาก  จึงลองเปลี่ยน tense และเขียนใหม่ ทำให้ดูสละสลวยกว่าเดิม  และหลังจากนั้นไดเลองเขียนเป็น descriptive paragraph   อธิบายสุนัขที่บ้านว่ามีลักษณะอย่างไร เขียนได้ 12 ประโยคเมื่อตรวจสอบข้อผิดพลาด พบว่าจะเป็น run on , fragment และ tense เป็นส่วนใหญ่  ซึ่งจากการลองเขียนในครั้ง ทำให้ดิฉันทราบถึงจุดอ่อนของตัวเองว่ายังอ่อนเรื่อง grammar จึงควรฝึกฝนและเรียนรู้ให้มากกว่านี้ เพื่อที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
          จากการศึกษาเพิ่มเติมจากการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จากการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ มาประยุกต์ใช้ในการศึกษา ใช้ค้นคว้าหาความรู้ให้เกิดความรู้ที่มีประโยชน์ต่อตนเองนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดีและรู้จักคิดอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้  เอาเวลาจากการใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ไม่เหมาะสม มาเรียนรู้ ซึ่งตัวดิฉํนเองได้นำเวลาว่างส่วนนั้นมาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้เกิดความรู้มากมาย ได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ทั้งการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน จนรวมถึงคำศัพท์ต่าง ๆ ทั้งเก่าและใหม่อีกด้วย  การใช้เทคโนโลยนี่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะเลือกใช้ไปในทางไหน ใช้ได้อย่างคุ้มค่าและมีประโยชน์แค่ไหน ตัวผู้ใช้เท่านั้นคือคนกำหนด

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 13 ตุลาคม

สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน

          หลายคนพอมีเวลาว่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร ทั้ง ๆ ที่ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเราทำงานอดิเรกที่เราชอบวันละ 20 นาที เราจะเะชี่ยวชาญในสิ่งนั้น ๆ ได้ เหตุใดคนวัยกลางคนและคนวัยทองทำอะไรแปลก ๆ คนโสดที่ขาดคู่ปรึกษาที่จริงใจ บางครั้งเครยีดหรืออาจมาจากความบกพร่องหรือความไม่รู็ด้านจิตวิทยาชอบใช้เวลาว่างไปทำสิ่งที่ไม่ดีงามไม่เหมาะสมโดยที่ไม่รู็จักใช้เวลาว่างเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์หรืออาจจะตีความหมายของคำว่าเวลาว่างผิดไป ซึ่งเวลาว่างหรือเวลาอิสระ หมายถึง เวลาที่ใช้นอกเหนืองานประจำ งานธุรกิจและงานบ้าน เป็นเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่จำเป็น เช่น การรับประทานอาหาร การนอน และกิจกรรมที่ต้องทำ เช่น การศึกษ ปกติแล้วเราควรมีเวลามากขึ้น มีการถกเถียงเกี่ยวกับเวลาว่าง เราควรมีเวลาว่างวันละ 45 นาที เหตุที่เรารู้สึกว่าเราควรมีเวลาว่างขึ้น อาจเป็นเพราะเราเสียเวลาครึ่งหนึ่งของเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เช่น ดูทีวี ดูหนัง ดูรายการโชว์ต่าง ๆ และบางครั้งหากคุณใช้เวลาว่างในการดูหนัง อาจจะเสียเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นหากคุณต้องการมีเวลาว่างขึ้นก็หยุดทำกิจกรรมเหล่านี้เสียแล้วนำเวลาว่างนั้นมาใช้ทำกิจกรรมให้เกิดประโยชน์ดีกว่า ตัวดิฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก วันจันทร์ถึงวันศุกร์เรียน พอตกเย็นวันศุกร์กลับบ้านมา เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องตื่นไปช่วยพ่อแม่ทำงาน เช้าสวน ทำงานบ้านต่าง ๆ นาๆ แต่เนื่องด้วยการเรียนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจึงต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู็เสมอ ดังนั้นหลังจากที่ทำงานแล้ว ดิฉันได้ใช้เวลาว่างมาศึกษาเพิ่มเพติมเกี่ยวกับภาษา พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้เก่งขึ้น แต่ดิฉันก็ไม่ใช่คนรักการอ่านมากมายอะไร จะให้หมกหมุ่นอยู่กับการเรียน ต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาก็คงไม่ใช่ ดิฉันจึงเลือกใช้เวลาว่างมาเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ได้ความรู้ด้วย
          ดิฉันเลือกที่จะพัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองโดยการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ปกติทั่วไป ในระหว่างวันที่ 13-19 ตุลาคม ดิฉันได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง นอน คุยโทรศัพท์ ดูทีวี เล่นอินเตอร์เน็ต ทั่วไป ไม่มีการเรียนพิเศษหรืออย่างใดเลย แต่สอดแทรก รู้วิธีการเรียนและสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษโดยวันที่ 13 ตุลาคม ดิฉันได้ทำการบ้านรายวิชา การเขียน (paragraph writing) ได้ฝึกเขียน definition paragraph โดยทำ outline และเขียน   paragraph ในหัวข้อ Love ดิฉันได้ให้ความหมายที่หาจากอินเตอร์เน็ตและให้ความหมายจากความเข้าใจของตัวเองด้วย หลังจากที่เขียนนิยามของ Love เสร็จแล้ว ดิฉันได้ศึกษาวิธีการเขียน process paragraph เพื่อที่จะเป็นความรู้ก่อนเรียนในคาบ เมื่อเสร็จจากวิชาการเขียนแล้ว ดิฉันได้ทำการบ้านวิชาการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ได้ทำ Adobe Captivate 8 สื่อการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง Abstract Noun ดิฉันได้ศึกษาข้อมูล ความหมาย ชนิดและประเภท วิธีการใช้ การเปลี่ยนรูปจาก Verb ให้เป็น abstract ซึ่งการเปลี่ยนรูปมีทั้งหมดกี่แบบ อะไรบ้าง อย่างไรนั้น ดิฉันได้บันทึกข้อมูลและทำสื่อการสอนไปแล้ว หลังจากที่ศึกษาข้อมูลเรื่อง Abstract Noun เสร็จแล้วนั้น  ดิฉันได้เล่น Facebook แล้วได่เข้าไปในเพจ เก่งอังกฤษจากสำนวนภาษาอังกฤษ  ในเพจนี้มีสำนวนมากให้ศึกษา เช่น Grin and bear it ยิ้มสู้โชคชะตา Easy is pie ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก One bad apple ปลาเน่าตัวเดียว ทำเหม็นทั้งข้อง Castle is Spain วาดวิมานในฝัน  Blue moonshine เรื่องเหลวไหล เรื่องพิเศษ a cat and a dog life ขมิ้นกับปูน เป็นต้น จากการศึกษาสำนวนภาษาอังกฤษนี้ ทำให้ดิฉันสามารถนำสำนวนไปพูดได้อย่างถูกต้อง 
          ในวันที่ 14 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษจากการเล่น Facebook โดยเข้าไปในเพจ ฝึกอังกฤษให้แข็งแรง เป็นเพจสอนภาษาอังกฤษใน Facebook  จะมีเรื่องราวต่าง ๆ มีเนื้อหาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เรื่องที่ดิฉันได้อ่านคือ Shoe Style คือ แบบรองเท้า จะมีลักษณะต่าง ๆ ของรองเท้า เช่น Flat = แบน flat heel ส้นเตี้ย flats รองเท้าส้นเตี้ย heel แปลตรง ๆ คือ ส่วนที่เป็นส้นของรองเท้า  high hell ส้นสูง heels รองเท้าส้นสูง  platform  ส้นตึก platform shoe รองเท้าส้นตึกพื้นราบทั้งส้น platform heels รองเท้าส้นสูงทรงตึก wedge ทรงเตารีด wedges รองเ้าทรงเตารีด wedge heel รองเท้าทรงเตารีด slingback แบบรัดส้ม  slingback flats รองเท้าส้นเตี้ยรัดส้น slingback heels รองเท้าส้นสูงรัดส้น จากการศึกษาทำให้ทราบลักษณะต่าง ๆ ของรองเท้าและรู้ว่าภาษาอังกฤษเขียนอย่างไร หลังจากนั้นดิฉันได้อ่านบทความจากเพจเรื่อง Hair style หรือ ทรงผม นั้นเอง จะมีภาษาอังกฤษบอกแบบผมต่าง ๆ เช่น 
ผมบ๊อบ       bob                      ผมหน้าม้า     bangs                              หน้าม้าสั้น       short bangs 
หน้าม้ายาว  long bangs          ผมหางม้า      ponytail                          ผมเปีย            braid (s)           
แสกกลาง    middle part         แสกขวา       right part                         แสกซ้าย        left part
ผมผูกแกละ    pigtails            เป็นต้น  และมีประโยค Most people part their hair on the left หมายถึง คนส่วนมากแสกผมด้านซ้าย Should i part my hair in the middle แปลว่า ฉันควรทำผมแสกกลางมัํย จากการศึกษาสามารถนำคำบอกลักษณะไปตอบและพูดคุยได้เมื่อพูดเกี่ยวกับทรงผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าใกล้ตัวเรามาก 
         ในวันที่ 15 ตุลาคม ดิฉันได้เรียนวิชาการสร้างแบบทดสอบและการประเมินผลทางภาษาของอาจารย์ทิพวรรณ ทองขุนดำ และได้รับมอบหมายให้สร้างแบบทดสอบเรื่อง some ,any ,a few ,a little of , much , many , uncountable noun , countable noun, plural และ  verb to be  ซึ่งดิฉันได้หาข้อมูลเรื่อวเหล่านี้เพื่อทำข้อสอบได้ถูกต้องและสามารถออกข้อสอบได้ จากการศึกษาทำให้รู้ว่า some และ  any ใช้เพื่อกล่าวถึงจำนวนที่ไม่จำเพราะเจาะจง (indefinite quantity) โดยปกตแล้วมักใช้ Some ในประโยคบอกเล่า และใช้ any ในประโยคปฎิเสธและคำถาม ตัวอย่างเช่น 
                      ประโยคบอกเล่า : There are some birds in the tree.
                      ประโยคปฏิเสธ : There aren't any birds in the tree.
                      ประโยคคำถาม : Are there any birds in the tree.
แต่บ่อยครั้งที่เราสามารถใช้คำว่า some ในประโยคคำถามที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ นั่นคือในการขอร้อง การเสนอให้ ทั้ง some และ any ใช้วางหน้าคำนามนับไม่ได้และหน้านามนับได้พหูพจน์ หรืออาจจะใช้โดยไม่มีคำนำหน้าตามหลังก็ได้ แต่ต้องพูดถึงคำนามนั้นมาก่อนหน้าแล้ว 
คำที่ดิฉันได้รับมอบหมายให้ออกข้อสอบนั้นเป็นคำบอกปริมาณ Quantity words คือคำหรือกลุ่มคำที่แสดงความมากน้อยของนาม ใช้ใส่หน้าคำนาม เช่น some - any = มีบ้าง -  few - a few พอมีอยู่บ้าง little - a little = มีน้อย much - many - a lot of = มาก a lot of some - any some ใช้นำหน้าคำนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) และคำนามพหูพจน์ โดยเฉพาะประโยคบอกเล่า  
-  Any ใช้นำหน้าคำนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) และคำนามพหูพจน์ แต่ใช้ในประโยคคำถามและปฏิเสธ 
-  Little - a little แปลว่าน้อย เช่นเดียวกับ few - a few แต่ทั้งสองคำนี้ใช้กับคำนามที่นับไม่ได้ 
-  Little แปลว่า น้อยมาก แทบไม่มีเลย เป็นความหมายในเชิงปฎิเสธ
-  a little มีความหมายว่า มีนิดหน่อย แต่ก็พอเพียง
-  much - many คำว่า much ใช้ประกอบ uncountable noun ส่วน many ใช้กับคำนามนับได้ countable noun คำพหูพจน์ เช่น many men , many houses , many doctors เป็นต้น
-  Lots of - a lot of แปลว่า มีมาก ใช้ประกอบคำนามที่นับไม่ได้และคำพหูพจน์ มักใช้ในประโยคบอกเล่า 
-  Few - a few แปลว่า น้อย ใช้ประกอบคำนามนับได้พหูพจน์ few มีความหมายว่า น้อยมาก แทบไม่มีเลย เป็นความหมายเชิงปฏิเสธ ส่วน a few แปลว่าน้อย แต่หมายถึง จะมีน้อยแต่ก็เพียงพอ
จากการศึกษาทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ในการออกสอบได้ตามความเข้าใจ
           ในวันที่ 16 ตุลาคม ดิฉันได้กลับบ้านมา แน่นอนว่า เมื่อกลับบ้านนั้น ก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เล่น ดิฉันจึงเลือกที่จะสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวภายในบ้าน เป็นภาษาอังกฤษ ดิฉันเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการเปิดเพลงภาษาอังกฤษ เปิดทิ้งไว้ตลอดระหว่างที่ทำงาน โดยเพลงที่เปิดนั้นมีเพียง 20 - 30 เพลง เท่านั้น และตั้งค่าให้เล่นเพลงซ้ำ ทำให้ดิฉันได่ฟังเพลงเหล่านั้นตลอดเวลาที่ทำงาน ดิฉันเชื่อว่า สมองคนเราสามารถเรียนรู้ได้แม้กระทั่งเวลาที่เราไม่สนใจ เรื่องบางอย่างต้องใช้วิธีซึมจะช่วยได้มาก เช่น เรื่องสำเนียง เราจะคุ้นกับสำเนียงการออกเสียงจากชาวต่างชาติในเพลง เมื่อเราร้องตามก็สามารถทำให้เราร้องตามสำเนียงนั้นได้อย่างไพเราะ ช่วยฝึกทักษะการฟัง เราจะได้ยินเพลงตลอดเวลา และก่อนที่จะร้องได้ก็ต้องฟังเเละเข้าใจเนื้อเพลงนั้นอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้น ดิฉันได้สร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษโดยการใล้ post it notes ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบทสนทนา และหน้าบ้านกับห้องนั่งเล่นติดเป็นคำศัพท์และยทสนทนาควบคู่กันรอบ ๆ บ้าน เมื่อดิฉันเดินผ่านหรือไปหยิบใช้สิ่งของเหล่านั้นก็ได้อ่าน post it notes ที่แปะเอาไว้โดยไม่เสียงานและเกิดการเรียนรู้อีกด้วย
หลังจากที่ทำงานบ้านเสร็จแล้ว ดิฉันได้ตั้งค่าโทรศัพท์มือถือเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษ และในตอนค่ำ ดิฉันได้ฝึกทักษาะการแปลโดยการแปลหนังสือภาษาอังกฤษ เรื่อง Huckleberry Finn ซึ่งเป็นงานแปลในรายวิชาการแปล ก่อนการแปลนั้นดิฉันได้หาคำศัพท์ยากพร้อมทั้งหาความหมาย เพื่อนำมาแปลอย่างรวดเร็ว หากรู้ความหมายของศัพท์หมดแล้ว จะแปลง่ายและเร็วขึ้น คำศัพท์ที่ยังไม่รู้และได้หาความหมายนั้นได้แก่คำว่า comfortable แปลว่า เพียงพอ มั่งคั่ง สะดวกสบาย , jude แปลว่า ผู้ตัดสิน ผู้พิพากษา คาดคะเน , pleased แปลว่า พอใจ , decided แปลว่า เห็นชัด ตัดสินใจ ,escape แปลว่า หนี , canoe แปลว่า เรื่อแคนู ,immediately แปลว่า โดยทันทีทันใด , lucky แปลว่า โชคดี ,carried แปลว่า ที่ขนส่งไป , คำว่า axe แปลว่า ขวาน และคำอื่น ๆ ที่ไม่รู้ความหมาย หลังจากหาคำศัพท์แล้วดิฉันได้เริ่มแปลอย่างจิงจรัง ทำให้เข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็นตอน ๆ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดมื่อแปลทำให้รู้สึกว่าเนื้อหาก็สนุก น่าสนใจดี คำศัพท์ในเรื่องก็มีศัพท์ยากเพียวเล็กน้อย ไม่ยากเกินไป เนื้อเรื่องเป็นการผจญภัยของฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ โดยเรื่องที่อ่าน ตอนที่ สอง huck escapes and finds a friend เนื้องเรื่องเป็นการหนีและการพบเพื่อนใหม่ เรื่องรางน่าตื่นเต้นและสนัก ทำให้ดิฉันอ่านแล้วรู้สึกได้ถึงการผจญภัยนั้น 
          ในวันที่ 17 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยการฟังไฟล์เสียงจากเว็บไซต์ soundcloud.com ได้แก่ :http://soundcloud.com/seach?q=+7 เรื่อง Fast furious 7 เป็นเพลงประกอบภาพยนต์และไฟล์เสียงต่าง ๆ ในเนื้อเรื่อง มี playlist ให้เลือกว่าต้องการฟังไฟล์ไหน และจะมีไฟล์เพลงสากลมากมายหบานศิลปิน หลากหลายแนงเพลง มีมากกว่า 500 playlist และจะบอกแนวเพลงให้เรารู้ด้วยว่าเป็นเพลงแนวไหน ทำให้ง่ายและตรงต่อความต้องการ หลังจากนั้นได้ฟังจากเว็บไซต์ www.rong-chang.com/easykids/ เรื่อง birthday cake and candles จากการฟังในครั้งนี้ ำให้ดิฉันจับใจความได้ว่า It is her birthday she is six year old. She looks at the birthday cake. It has white icing.There are six candles kn tops. Hem mom and dad sing happy birthday.Her dad light the candles. She makes a wish. She blows out the candles. She claps her hands. Her mom and dad crap their hands. เหตุที่ดิฉันฟังรู้เรื่องและจับใจความได้นั้นเป็นเพราะบทความนี้ง่ายและพูดช้า ง่ายต่อการเข้าใจ คำศัพท์ในเนื้อความก็เป็นศัพท์ง่าย ทำให้ดิฉันเข้าใจบทความนี้ได้อย่างง่ายและชัดเจน

          ดิฉันได้ฝึกการอ่านและพัฒนาคำศัพท์จากการอ่านหนังสือ เรื่อง จำศัพท์เจ๋ง เก่งอย่างเทพด้วย mind mapping มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จีน ไทย มากกว่า 2000 คำ จาก 7 หมวด ดิฉันได้อ่านคำศัพท์เรื่อง food เกี่ยวกับผลไม้ บรรเทาอาการเจ็บคอ relieve one's sore throat มีผลไม้จำพวก star fruit มะเฟือง pear ลูกแพร์ fig haw บ๊วยจีน ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน sweet and sour ได้แก่ grape องุ่น litchi lychee ลิ้นจี่ longan ลำไย mangoes teen มังคุด passion fruit เสาวรส persimmon ลูกพลับ peach ลูกพีช plum ลูกพลัม apricot แอพริคอต date อินทผลัม ผลไม้ที่ต้องปลอกเปลือก peel แปลว่า เปลือก rind แปลว่า เปลือกผลไม้ sugarcane อ้อย durain ทุเรียน jack fruit ขนุน มีเมล็ด seed ได้แก่ cantaloupe แคนตาลูป papaya มะละกอ guava ฝรั่ง kiwi ผลกีวี pit เปลือกแข็งหุ้มเมล็ด avocado อะโวคาโด mango มะม่วง wax apple ชมพู่ และประเภทสุดท้ายที่ได้อ่านและฝึกท่องจำได้แก่ ผลไม้ประเภทเบอรี่ ได้แก่ cranberry แคลนเบอรี่ raspberry ราสเบอรี่ mulberry ลูกหม่อน strawberry สตอร์วเบอรี่ blueberry บลูเบอรี่ จากการฝึกทักษะในการอ่านคำศัพท์นี้ทำให้รู้คำศัพท์เกี่ยวกับผลไม้ต่าง ๆ มากกว่า 20 ชนิด เมื่อเห็นผลไม้เหล่านั้น ฉันก็สามารถพูดและบอกชื่อผลไม้นั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษได้ 

          หลังจากนั้น ดิฉันได้ฟังเพลงภาษาอังกฤษหลายเพลง สนใจฟังบ้าง ไม่สนใจบ้าง และเพลงที่ฉันสนใจฟังและพอเข้าใจเนื้อเพลงได้แก่เพลง I don't like to sleep alone ของศิลปิน Paul  Anka ดิฉันได้ฟังเพลงและลองแปลเนื้อเพลงตามความเข้าใจได้ว่า ชื่อเพลง แปลว่าฉันไม่ชอบนอนคนเดียว โดยใช้สำนวน like to แปลว่า ชอบ และมี don't แปลว่า ไม่ รวมกันเป็นไม่ชอบ จากในเนื้อเพลงมีบางประโยคที่ดิฉันจำได้เป็นประโยคที่เกี่ยวกับคนมีความรัก ได้แก่ประโยคที่ว่า  stay with me,don't go แปลว่า อยู๋กับฉันนะ อย่าไปไหน , Talk with me for just a while แปลว่า คุยกันหน่อยนะเดีย๋ยวเดียวก็ยังดี ,So much of you to get to know ยังมีอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองที่ฉันจะต้องรู้ , Reading out touching แปลว่า เอื้อมมือออกไปตะกายหา แล้วก็ได้สัมผัสตัวเธอ, leaving all the worries all behind แปลว่า ทิ้งความกังวลใจทั้งหลายทั้งปวงไว้ข้างหลังให้หมด,loving you , the way i do แปลว่า การที่ได้รักเธอตามแบบที่ฉันรักอยู่นั้น , my mouth on your and your on mine แปลว่า ริมฝีปาของเธออยู่บนริใฝีปากของฉันและริมฝีปากของฉันก็อยู่บนริมฝีปากของเธอ  marry me or let me live with you แปลว่า แต่งงานกับฉันเถอะ หรือไม่ก็ให้ฉันอยู๋ด้วยคนนะ nothing's wrong when love is right ไม่มีอะไรผิดหรอกเมื่อความรักมันถูก loneliness can get you down ความเปล่าเปลี่ยวทำให้คุณเศร้าได้นะ จากเพลงนี้มีประโยคมากมายที่เกี่ยวกับความรักและชีวิตมนุษย์ ทำให้เมื่อลองแปลแล้วได้ข้อคิดดีๆแฃะเตือนใจได้เยอะ

          หลังจากนั้นดิฉันได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง Phrase เพื่อใช้ในการแต่ง Paragraph จากการศึกษาทำให้ทราบว่า  Phrase (วลี)  คือกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียงกันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค เช่น เป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้ประกอบด้วยทั้งภาคประธานและภาคแสดง วลีแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
      1. นามวลี (noun phrase) จะมีคำนามเป็นหลัก เช่น women with long hair  
               โครงสร้างของ noun phrase 
คำหลักใน noun phrase คือ คำนามหรือคำสรรพนาม โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
· คำกำกับนามและคำนาม       เช่น these houses
· คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม และคำนาม     เช่น these big houses
· คำนามและส่วนขยายหลังคำนาม     เช่น houses made of wood
· คำกำกับนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม   เช่น some houses made of wood
· ส่วนขยายหน้าคำนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม  เช่น big houses made of wood
· คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม  เช่น some big houses made of wood
ขอให้สังเกตว่า noun phrase มักมีคำกำกับนามและส่วนขยายเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยส่วนขยายส่วนมากจะเป็นคำคุณศัพท์ ในการใช้คำคุณศัพท์และคำนามขยายคำนามหลัก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ลำดับตำแหน่งของคำขยายเหล่านั้นเมื่อนำมาวางไว้ข้างหน้าคำนามหลัก โดยทั่วไปคำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายคำนามจะมีเพียงสองสามคำ แต่บางครั้งอาจมีส่วนขยายได้หลากหลาย โดยมีลำดับของคำคุณศัพท์และคำนามขยายหน้าคำนามหลักดังนี้

คำกำกับนาม
(determiner)
ความรู้สึก หรือความคิดเห็น
(feeling/opinion)
ขนาด หรือ รูปร่าง
size/shape
อายุ
(age)
สี
(color)
ต้นกำเนิด  หรือที่มา
(origin)
วัสดุ
(material)
คำนามหลัก
(head noun)
a
practical
small
old
-
German
-
knife
that
-
big
new
brown
-
plastic
bag
this
beautiful
long
-
black
Japanese
nylon
umbrella

อย่างไรก็ตาม การเรียงลำดับคำคุณศัพท์หน้าคำนามหลัก อาจผิดไปจากลำดับที่กล่าวไว้ในที่นี้ได้ โดยวางคำที่ต้องการเน้นไว้ใกล้คำนามหลักมากกว่า เช่น
a sick young boy (เด็กน้อยที่มีอาการเจ็บป่วย)
a young sick boy (เด็กคนป่วยที่ยังมีอายุน้อย)
  

         หน้าที่ของ noun phrase นามวลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำนาม เช่น

-  เป็นประธาน เช่น   All the passengers were safe.
-  เป็นกรรม เช่น  We really enjoyed the food at that restaurant.
- เป็นกรรมตรงและกรรมรอง เช่น  The manager gave all of us (กรรมรอง) a double raise. (กรรมตรง)
-  เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น The clock was a Christmas present from the ABC Company.
-  เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น  We considered Mr. Johnson the best employee.
-  เป็นกรรมของบุพบท เช่น  The box of chocolates is intended for your children.
-  เป็นส่วนขยายคำนามอื่น เช่น  John suffers from back problems. 
 - เป็นกริยาวิเศษณ์ เช่น  School starts next month.


     2. กริยาวลี (verb phrase)   ประกอบด้วย main verb (กริยาแท้) และ auxiliary verb (กริยาช่วย) ใน verb phrase หนึ่ง ๆ อาจมีกริยาช่วยมากกว่า 1 คำ ตัวอย่าง

· Jane will work on a night shift.
  (will work เป็น verb phrase ซึ่งมี work เป็นกริยาแท้ และ will เป็นกริยาช่วย) 
· Jane will be working on a night shift next week.
  (will be working เป็น verb phrase ซึ่งมี working เป็นกริยาแท้ ส่วน will และ be เป็นกริยาช่วย) 

verb phrase ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยา คือ บอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทำอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับประธานของประโยค

     3. คุณศัพท์วลี (adjective phrase)

                โครงสร้างของ adjective phrase   adjective phrase ประกอบด้วยคำคุณศัพท์กับส่วนขยายคำคุณศัพท์ ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ และประเภทที่อยู่หลังคำคุณศัพท์ โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์  เช่น very happy
· คำคุณศัพท์และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์  เช่น happy to see you
 ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ คุณศัพท์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์  เช่น very happy to see you

          หน้าที่ของ adjective phrase คุณศัพท์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำคุณศัพท์ เช่น

- ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น   Highly sensitive people are hard to deal with.
-  ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น   The children are very happy to see their parents.
- ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น  The teachers made us aware of the importance of the entrance exams.
- ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม โดยอยู่ข้างหลังคำสรรพนามที่ถูกขยาย เช่น  I want to eat something very spicy.

4. กริยาวิเศษณ์วลี (adverb phrase)

       โครงสร้างของ adverb phrase     adverb phrase ประกอบด้วยคำกริยาวิเศษณ์กับส่วนขยาย ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่ข้างหน้าและประเภทที่อยู่ข้างหลังคำกริยาวิเศษณ์ โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้

· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์ และคำกริยาวิเศษณ์    เช่น very quickly
· คำกริยาวิเศษณ์ ละส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์   เช่น quickly indeed
· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์ คำกริยาวิเศษณ์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์  เช่น very quickly indeed

        หน้าที่ของ adverb phrase กริยาวิเศษณ์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยาวิเศษณ์ ดังนี้

-   ทำหน้าที่ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่น เช่น 
             Henry walked extremely quickly.
            These umbrellas are very beautifully made.

-  ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น  Surprisingly indeed, everybody survived in the car accident.

5. บุพบทวลี (prepositional phrase)

          โครงสร้างของ prepositional phrase  ประกอบด้วยคำบุพบทและส่วนเสริม (complement) ซึ่งตำราบางเล่มจะเรียกว่า กรรมของบุพบท ส่วนเสริมมี 3 ประเภทคือ

· ส่วนเสริมที่เป็น noun phrase   เช่น through the back door
· ส่วนเสริมที่เป็น noun clause       เช่น from what I have heard
· ส่วนเสริมที่อยู่ในรูปกริยาเติม (v–ing)       เช่น after speaking to you

      หน้าที่ของ prepositional phrase บุพบทวลีทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

-   ทำหน้าที่ขยายประธานของประโยค โดยอยู่ตามหลังกริยา BE หรือกริยาเชื่อม (linking verb) เช่น
Mr. Johnson is in the meeting room.

-  ทำหน้าที่ขยาย noun phrase โดยอยู่ในตำแหน่งหลัง noun phrase ที่ถูกขยาย เช่น  

   Jane took a course in advanced mathematics.    
   Kate bought a house with a beautiful garden.

-    ทำหน้าที่ขยายคำคุณศัพท์ โดยอยู่ในตำแหน่งหลังคำคุณศัพท์ที่ถูกขยาย เช่น
   They are aware of the danger of the AIDS virus.
   I am happy with what I have.

-  ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น
    In fact, the economy is improving.  
    In my opinion, people are basically good.

หลังจากที่ดิฉันศึกษาเรื่อง Phrase และประเภทต่าง ๆ ของ Phrase ทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนรู้แต่เข้าใจไม่ชัดเจน ตอนนี้คิดว่ารู็และเกิดความเข้าใจพอสมควรสามารถนำความรู้จากการศึกษาไปใช้ต่อยอดความรู้ในงานเขียนและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง  Phrase หรือประโยคต่าง ๆ ได้ถูกต้อง

          ในวันที่ 18 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยฟังจากเว็บไซต์ฝึกทักษะการฟัง http://www.listenaminute.com/ในเว็บไซต์นี้จะมีบทเรียนเรียงตามพยัญชนั A-Z มีจำนวนโดยรวมแล้วประมาณเกือบ 500 บทเรียน ดิฉันได้เลือกฟังเรื่อง Chocolate เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับช็อคโกแลต สำเนียงการพูดช้า ง่ายต่อการฟัง และคำศัพท์พื้นฐานส่วนใหญ่ จากการฟังทำให้ดิฉันเข้าใจบทเรียนและนำมาทำแบบฝึกหัดทบทวนได้ โดยฟังเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ทำแบบฝึกจาก 20 ข้อ ดิฉันทำภูก 16 ข้อเรื่องที่สองที่ฟัง คือ I love you เป็ยบทเรียนที่พูดค่อนข้างเร็ว และสำเนียงการพูดฟังยาก ทำให้ดิฉันต้องมาอ่าน Transcript ด้านล่างอีกทีว่าบทเรียนนี้พูดถึงอะไรบ้าง แต่เมื่ออ่านเสร็จแล้วกลับไปฟังอีก 2 รอบ ทำให้เกิดความเข้าใจมากกว่าฟังครั้งแรก และเมื่อฟังจบ ดิฉันได้ลองทำแบบฝึกหัดผลปรากฏว่า ทำได้เพียง 9 ข้อ ทำให้รู้ว่าหากสำเนียงการพูดเร็วเกินไป จะทำให้เราจำไม่ได้และเกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟังแม้จะได้อ่านแล้วก็ตาม
          หลังจากนั้นดิฉันได้เล่นเกมส์คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ http;//www.kengpasa.com/games/games.asp. มีเกมส์ 20 รูปแบบให้เลือกเล่น ดิฉันเลือกเล่นเกมส์จำนวน 4 เกมส์  คือ เกมส์ที่ 1 เกี่ยวกับเรื่อง past tense ให้เลือกคำทางซ้านมือที่เป็น verb ช่อง 2  ของกริยาทางขวามือแล้วลากมาต่อกัน ชุดคำถามมีจำนวน 10 ข้อ ดิฉันทำได้คะแนนเต็ม 10 คะแนน เกมส์ที่สองที่ดิฉันเล่นคือ Homophone เลือกคำตอบจากซ้ายมือที่ออกเสียงเหมือนกันกับทางขวามือมาต่อกัน เมื่อครบแล้วคะแนนออกมา ซึ่งทำให้ดิฉันได้คะแนนเต็ฒอีกครั้ง เกมส์ที่สาม ได้เลือกเล่นได้แก่เกมส์ Opposite ให้เลือกคำทางซ้ายมือที่มีความหมายตรงข้ามกับทางขวามือมาต่อกัน ดิฉันทำได้ 10 คะแนนเหมือนกัน จากการเล่นเกมส์ในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้ทบทวนคำศัพท์แต่ไม่สามรถเพิ่มคำศัพท์ได้ เนื่องจากในเกมส์เป็นคำศํพท์พื้นฐานง่าย ๆ ที่ดิฉันรู้อยู่แล้ว จึงทำให้สามารถเล่นเกมส์ได้อบ่างไม่ติดขัด ดังนั้นดิฉันควรเล่นเกมส์ที่มีคำศัพท์ยากกว่านี้ เพื่อที่จะสามารถทบทวนคำศัพท์เก่า ๆ และเกิดการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นดิฉันจึงเปลี่ยนจากการเล่นเกมส์ไปฝึกทักษะอื่น
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนและทบทวนคำศัพท์จาก http;//www.kengpasa.com/excercise/write/wrire05.asp เป็นแบบฝึกหัดเขียนคำให้ถูกต้อง โดยดูความหมายของคำจากด้ายซ้ายมือแล้วเขียนภาษาอังกฤษในช่องว่างให้ถูกต้อง มีจำนวน 10 ข้อ โดยมีคำว่า ประเภท ของบ่าย ห้องแสดงผลงาน ที่นั่งเล่นชั้นบน เฉลียว ตรง ตรงไป จุดแข็. กำลัง ความเข้มเเข็. ความอ่อนแอ ความไม่แข็งแรง โอกาส จังหวะ อุปสรรคการควบคุม สะดวก ขายส่ง ขนาาดใหญ่ และคำว่า สำรวจ สังเกต มองโดยรอบ โดยที่คำศัพท์ทุกคำจะทีคำอ่านภาษาอังกฤษไว้ให้เราผสมคำแล้วด้วยนั้น ทำให้สะดวกในการสะกดคำ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเนื่องจากตัวดิฉันเป็นคนที่ไม่มีคลังคำศัพท์มีความรู้เรื่องคำศัพท์น้อยทำให่เข้าใจบทเรียนยาก แต่ก็พยายามลองสะสมคำศัพท์ดู ทำให้สะสมคำได้เพียง 5 คำเท่านั้น จึงรู้เลยว่าตนเองนั้นจำเป็นต้องรู้คำศัพท์มากกว่านี้ เพราะคำศัพท์คือสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งในภาษาอังกฤษ หากเราใช้คำผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนไปทันที
          ดิฉันจึงเลือกฝึกคำศัพท์จาก http;//www.freerice/com#/english-vocabulary/1694 โดยในเว็บไซต์นี้จะมีเป็บแบบทดสอบคำศัพท์ จำนวน 60 ข้อ  ในข้อสอบจะให้คำศัพท์มาหนึ่งคำแล้วให้เลือกความหมายที่เป็นภาษาอังกฤษเช่นัน จำนวน 4 ตัวเลือก ซึ่งจาก 60 ข้อนั้นดิฉันทำได้เพียง 39 ข้อ ข้อไหนที่ทำผิดเราจะกลับมาทำใหม่ในตอนสุดท้ายและหากผิดอีกทางเว็บไซต์ก็จะโชว์คำตอบที่ถูกต้องมาให้และทำข้อต่อไปอีก เมื่อทำจบแล้วคำศัพท์ก็จะเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ตาม level ของคำศัพท์ที่เราเล่นไป ซึ่งทั้งหมดนั้นมีจำนวน 60 level เราสามารถเลือกเล่นและทดสอบได้ตามระดับความรู้ทางคำศัพท์ของเราที่ถนัดเลยได้เลย หลังจากที่ทดสอบคำศัพท์ level 1 เสร็จแล้ว ดิฉะนได้เปลี่ยนมาทดสอบความรู้ด้าน ไวยากรณ์ ซึ่งจะมีทั้งหมด 50 level ให้เลือกตามความถนัดและความสามารถของผู้ทดสอบ ดิฉันลองทำแบบทดสอบเรื่อง Grammar จำนวน 10 ข้อ หรือ ๅ ชุด ผลปรากฏว่า ถูกต้องเพียง 4 ข้อเท่านั้น ทำให้รู้เลยว่านอกจากอ่อเรื่องคำศัพท์แล้วในส่วนของไวยากรณ์ ดิฉันก็ยังอ่อน ยังมีความรู้ไม่แน่นมากพอที่จะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นดิฉันจำเป็นต้องฝึกสะสมคำศัพท์และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไวยากรณ์ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
          ในวันที่ 19 ตุลาคม ดิฉันได้ดูหนังเรื่อง Home alone 2 ในรายวิชาภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ของอาจารย์ Charles M Fisher ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เกี่ยววันคริสต์มาส ซึ่งดิฉันกำลังเรียนเรื่องนี้อยู่พอดี โดยอาจารย์ให้ดูหนัง แล้วให้ดูว่าในวันคริสต์มาสนั้นเขาจะทำอะไรกันบา้ง วัฒนธรรมประเพณีของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็มีครบทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมของชาวต่างชาติจริง ๆ จากที่ดูมาแล้้วสามารถสรุปตามความเข้าใจได้ว่า ในเมือง นิวยอร์ค จะมีครอบครัวของ Kavin เลี้ยงฉลองเทศกาลคริสต์มาสอย่างสนุกสนาน จนกระทั่ง Kavinได้ผลัก Buzz แล้วทำให้เกดความวุ่นวายในงาน แม่ของ Kavin จึงพา Kavin ไปขังไว้ในห้อง พอเช้ามาทุกคนตื่นสาวยและรีบไปสนามบินจนลืม Kavin ไว้ที่บ้านคนเดียว ในระหว่างที่ครอบครัวของเขาไปต่างประเทศ มียามที่เป็นโจรพยายามมาขโมยของที่บ้านของ Kavin ทำให้เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับโจร ทำให้เกิดความสนุกสนานในหารชม  ที่เด็กตัวเล็ก ๆ อายุเพียง ค ขวบ สามารถทะอะไรที่ผู้ใหญ่ทำไม่ได้หลาย ๆ อย่าง จนกระทั่งโจรนั้นถูกตำรวจจับตัวไป และปัญหาที่เขากลัวเพื่อนบ้านของเขาก็หมดสิ้นไปเพราะลุงคนนั้นต้องการแค่ให้ลูกของเขากลับมาหาแต่ไม่มีการติดต่อหากัน เลยทำให้เขาดูหน้ากลัวเพราะไม่ยิ้มเนื่องจากไม่มีความสุขในชีวิต แต่เมื่อเขาได้คุยกับ Kavin เขาก้ติดต่อกับลูกของเขา จนในวันคริสต์มาส  ลูกของเขาก็กลับมาหา ในขณะที่ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ครอบครัวของ Kavin ก็ได้เดินทางกลับมาเหมือนกัน ทำให้ครอบครัวของเขาได้เลี้ยงฉลองเทศการคริสต์มาสด้วยกันอย่างมีความสุข จากการดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ดิฉันทราบถึงความสำคัญของวันคริสต์มาสและในวันนั้นจะมีการแต่งตัว แต่งสถานที่ อาหารอย่างไร คือ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวันศริสต์มาส นอกจากนั้น ทำให้ฉันเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในการชม มีความสุขมาก อีกทั้งยังได้ข้อคิดดี ๆ อีกด้วย
          จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกทักษะทางภาษาโดยการเรียนรู้และฝึกฝนตามความถนัดและตามความสนใจนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลทันทีทันใดนั้น แต่หากเราหมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ เอาเวลาว่างจากการทำงานมาเรียนรู็ เล่นเกมส์ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองดีกว่านำเอาเวลาว่างเหล่านั้นไปทำอย่างอื่นที่ไร้สาระ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นระจำ จะช่วยให้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะหากฝึกฝนทุกวัน การเรียนภาษาให้เก่งนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ภาษาได้บาอยแค่ไหน หากไม่ได้ทบทวนเป็นเวลานาน ๆ เราก็จะลืมสิ่งที่เรียนไปเมื่อครั้งก่อน ๆ แล้วต้องเริ่มเรียนใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาอีก ดังนั้นเราจึงควรทบทวนบทเรียนบ่อย ๆ และเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ตามความสนใจได้ ดังเช่น ที่ดิฉันได้เรียนรู็ทีหลาหลายวิธี จะทำให้ไม่เกิดความเบื่อหน่าย แต่กลับรู้สึกสนุกสนานในการเรียนรู้อีกด้วย นอกจากสนุกสนานยังได้ความรู้ พัฒนาทักษะต่าง ๆ เกิดคำศัพท์ใหม่ ๆ และข้อคิดดี ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้ จะเห็นได้ว่าการใช้เวลว่างของดิฉันจะเป็นการเรียนรู้และทำงานส่วนใหญ่ มีการเรียนรู้อย่างไม่เต็มที่ หากคุณต้องการที่จะเป็นคนเก่งภาษา เชื่อเถอะคะว่าถึงเวลาที่เรามีจะเท่ากัน แต่อยู่ที่ว่าเราจะว่างและเรียนรู้มากแค่ไหน ยิ่งเวลาว่างมาก หากใช้เวลาเป็น จะเห็นได้ว่าคุณจะเก่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 6 ตุลาคม

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน 


          ไวยากรณ์ (Grammar) เป็นกระบวนการทางภาษาที่จะควบคุม และรวบรวมคำเพื่อก่อให้เกิดหน่วยของความหมายที่ยาวขึ้น ไวยากรณ์จึงเป็นตัวกำหนดเกณฑ์พื้นฐานของกิจกรรมในห้องเรียนที่มีจุดประสงค์ของการเรียนรู้ชั่วคราว เพื่อให้มองเห็นผลได้ในระยะยาว เพราะการใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วควรเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้เรียนรู้ด้วยวิธีการหลากหลายในระยะยาว ผู้สอนต้องนำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียนหลังจากนั้นก็อธิบายถึงกฎของการใช้ของไวยากรณ์ตัวนั้นและควรมีแบบฝึกหัดให้แก่นักเรียนเพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นเข้าใจโครงสร้างของไวยากรณ์ตัวนั้นได้อย่างลึกซึ้ง แต่หลายคนคิดว่า ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นอะไรไม่ชอบเอาเสียเลย สาเหตุเพราะหลายคนคิดว่ายาก มันก็เลยยากอย่างที่เราคิดจริง ๆ ด้วย เพราะเมื่อเราคิดดังนั้น เราก็ไม่คิดที่จะศึกษากันอย่างจริง ๆ จัง แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ถ้าเราคิดว่ามันคงไม่ยากหรอก ถ้ายากคงไม่มีใครเรียนรู้เรื่อง หากเรามีความคิดเช่นนี้ สมองก็จะสั่งการว่าคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ และเราก็ทำได้จริง ๆ ด้วย จึงขอแนะเบื้องต้นตรงนี้ว่าการเรียนไวยากรณ์คือการเรียนความแตกต่างของหลักภาษา ถ้าเราทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งรับรองว่าไม่ยากเกินที่เราจะศึกษาหรอก โดยเริ่มจากระดับง่าย ๆ ไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้น ซึ่งหลักไวยากรณ์เบื้องต้นที่นักเรียนควรเรียนรู้ให้เข้าใจนั้นต้องตอบคำถามความแตกต่างของภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีอยู่มากมาย แต่ที่วันนี้ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง Noun Clause จากห้องเรียนและมาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจมากยิ่งขึ้น

          จากการศึกษาเรื่อง Complex Sentence ในคาบก่อนหน้านี้ แล้วนั้น ฉันยังคงไม่เข้าใจอยู่บางส่วน อาจารย์ได้อธิบายเชื่อมโยงมาถึง Clause และครั้งนี้ สอนเรื่อง Noun Clause ทำให้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมาย ประเภทต่าง ๆ หน้าที่ หลักการใช้ ของNoun Clauseได้มากยิ่งขึ้นว่า Noun Clause คือ ประโยคย่อยทำทำหน้าที่เหมือนคำนามหนึ่งคำอาจเป็นประธานหรือกรรมก็ได้ ในชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยินหรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่เลย และจะเชื่อมด้วยคำเชื่อมต่อไปนี้ ได้แก่ question words เช่น what, where, when, why, which, who, whom, whose, how, whether, if และ that เป็นต้น Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งของประธานจะเรียกว่า “Subject noun clauses” และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรมจะเรียกว่า "Object noun clauses" Object Noun Clauses จะต้องอยู่คู่กับ Main Clause ของประโยคเสมอ โดยประโยคจะเริ่มด้วย Main Clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "that"

2. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย "Wh-Words" (หรือ Question Words)

3. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "if" หรือ "whether"

          1. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "That" เราใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้

1. ใช้ตามหลัง verbs บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือ ความคิดเห็น เช่น agree, feel, know, remember, believe, forget, realize, think, doubt, hope, recognize, understand เช่น

     I agree that we should follow him.

    She knows that her mom loves her.

2. ถ้าเป็นภาษาพูด มักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause เช่น

    I think that it’s red, not blue. (ภาษาทางการ)

    I think it’s red, not blue. (ภาษาพูด)

3. Verbs ใน main clauses มักจะเป็น present tense แต่ verbs ใน noun clauses จะเป็น tense อะไรก็ได้ เช่น

  I believe it’s raining. (now)

  I believe it’ll rain. (very soon)

  I believe it rained. (a moment ago)

4. ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด noun clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clauses ได้ เช่น

 Surat: Is Surawee here today?

 Dendao: I think so. (คำพูดเต็มๆก็คือ I think that Surawee is here today.)

 Dares: Has the rain stopped?

 Sompet: I don’t believe so. (คำพูดเต็มๆก็คือ I don’t believe that the rain has stopped.)

2) การละคำนำหน้า that ที่นำหน้า noun clause * ที่ทำหน้าที่บางหน้าที่ใน complex sentence สามารถจะละได้ในกรณี ต่อไปนี้

  กรณีที่ noun clause เป็น object

        We believe (that) he told the truth.

        The police assured us (that) the children would be found safe and sound.

        I wish (that) I would win the first prize.

กรณีที่ noun clause เป็น subject complement

      The reason is (that) he speaks English fluently.

      My opinion is (that) you'd better stay home.

ตามหลังคำคุณศัพท์

     I am sure (that) he can get a good job.

    They are afraid (that) they cannot catch the 6 o'clock train.

 ในกรณีที่ noun clause เป็นประธาน ไม่ สามารถละ that ได้

           2. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words ได้แก่คำว่า what where when why how 
มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า indirect wh-questions และแม้ว่า noun clauses เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับคำ (word order) ในอนุประโยคนี้ จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม 
 เช่น    I know why he comes home very late. (ไม่ใช่ why does he come home very late)

           I don’t know when he will arrive. (ไม่ใช่ when will he arrive)

2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นบอกเล่า จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค

เช่น Could you tell me where the elevators are?     (Main clause เป็นคำถาม)

I’m wondering where the elevators are.         (Main clause เป็นบอกเล่า)

3. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ หรือเราไม่แน่ใจ

เช่น I don’t know how much it costs.

       I would like to know when our next meeting will be.

       I’m not sure which house is his.

4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ

เช่น   Could you tell me who are injured in the accident?

         Can you tell me what time the show starts?

3. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย If หรือ Whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions นั่นเอง

 เช่น    Direct Question: Did they pass the exam?

           Indirect Question: I don’t know if they passed the exam.

2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words

3. จะขึ้นต้น Noun Clauses ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ 

  เช่น      Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea.

              Tell me if you want to go with us or not.

4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง

 เช่น      I can’t remember if I had already paid him.
       
             I wonder whether he will arrive in time.

5. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ

 เช่น      Do you know if the principal is in his office.

             Can you tell me whether the tickets include drinks?

Noun clause ทำหน้าที่ต่างๆดังต่อไปนี้     ในตัวอย่างข้างล่างประโยค a มีคำนามหรือกลุ่มคำนาม (noun phrase) และประโยค b มี noun clause ในตำแหน่งเดียวกันกับประโยค a

     1. Subject

a. His statement is correct.

b. What he said is correct.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า What he said (สิ่งที่เขาพูด) ใน ประโยค b เป็นประโยคย่อย คือมีภาคประธาน he และภาคแสดง said โดยซ้อนอยู่ในประโยคอีกประโยคหนึ่งและทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคนั้น เทียบได้กับกลุ่มคำนาม His statement (คำพูดของเขา) ซึ่งเป็นประธานของประโยค a

     2. Direct Object

a. We doubt his way of doing it.

b. We doubt how he did it.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า how he did it เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมตรง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his way of doing it ในประโยค a

     3. Indirect Object

a. He told the story to everyone.

b. He told the story to whomever he met

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า whomever he met เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมรอง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม everyone ในประโยค a

     4. Object of a Preposition

a. His relatives are curious about his living place.

b. His relatives are curious about where he lives.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า where he lives เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมตามหลังบุพบท เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his living place ในประโยค a

     5. Subject Complement

a. The question is about the timing of parliament dissolution.

b. The question is (about) when parliament will be dissolved.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า when parliament will be dissolved เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน ที่ตามหลัง คำกริยา BE เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the timing of parliament dissolution ในประโยค a

     6. Object Complement

a. You may name him Sam.

b. You may name him whatever you like.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า whatever you like เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เทียบได้กับ Sam ในประโยค a

     7. Appositive

a. Jack, the hero in the story, needs to prove his innocence.

b. The fact that he was not at the murder scene needs to be proved.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า that he was not at the murder scene เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น appositive เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the hero in the story ในประโยค a

นอกจากนี้ยังได้ศึกษาเกี่ยวกับการลดรูปของ noun clause เป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้ดังนี้

           การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น noun phrase โดยมีวิธีการลดรูปคือ

1) ให้เปลี่ยนคำกริยาให้เป็นคำนามและคำกริยาวิเศษณ์ให้เป็นคำคุณศัพท์ ถ้าประธานเป็นชื่อเฉพาะให้ใช้ ’s

That Tom behaved well made his
parents happy.
That Tom behaved well made his parents happy.
Tom’s good behavior made his parents happy.

แต่ถ้าเป็นคำสรรพนามให้ใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive adjective) และตัด that ออก

They know that he desires to marry her soon.
They know That he desires to marry her soon.
They know his desire to marry her soon.


2) ในกรณีที่ใน noun clause มีโครงสร้าง เป็น S + linking verb + ADJ ให้เปลี่ยนคำคุณศัพท์

เป็นคำนามและใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของซึ่งมาจากประธานและกริยาเชื่อมในประโยคเดิมนำหน้า

That he is insincere is well known.
That he is insincere is well known.
His insincerity is well known.

3) ในกรณีที่ไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าประธานเป็นใครดังในตัวอย่างข้างล่างซึ่งมี one เป็นประธานของคำกริยาใน noun clause สามารถตัดประธานออกได้

That one is ignorant of school regulations is not an excuse to violate them.
That one is ignorant of school regulations is not an excuse to violate them.
Ignorance of school regulations  is not an excuse to violate them.


4) ในกรณีที่ noun clause ตามหลังคำคุณศัพท์ เมื่อลดรูปเป็น noun phrase ต้องมีคำบุพบทหลังคำคุณศัพท์ ซึ่งจะใช้คำบุพบทคำใดขึ้นอยู่กับคำคุณศัพท์นั้น

I’m sure that I will succeed in climbing the mountain.
I’m sure that I will succeed in climbing the mountain.
I’m sure of my success  in climbing the mountain.

การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น gerund ได้ โดยมีวิธีการลดรูปดังนี้

1.) หากประธานใน main clause และใน object noun clause เป็นตัวเดียวกัน ให้นำคำกริยาใน noun clause มาเปลี่ยนเป็น gerund

I forgot that I had given her permission.

I forgot that had given her permission.

I forgot having given her permission.
Kenny denied that he cheated on the examination.

Kenny denied that he cheated on the examination.
Kenny denied cheating on the examination.


2) ในกรณีของ subject noun clause ให้นำคำกริยามาเปลี่ยนเป็น gerund และใช้ ’s ในกรณีที่ประธานเป็นชื่อเฉพาะหรือใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของแทนประธานที่เป็นคำสรรพนาม

That Tom came late made him unable to finish the examination on time.

That Tom came late made him unable to finish the examination on time.   
Tom’s coming late made him unable to finish the examination on time.
That he came late resulted in him being unable to finish the examination on time.
That he came late resulted in him being unable to finish the examination on time.
His coming late resulted in him being unable to finish the examination on time.


3) ในกรณีที่เป็น subject noun clause ซึ่งมีประธานเป็นบุคคลทั่วไปหรือ we, they, you และ one ให้เปลี่ยนคำกริยาเป็น gerund ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของนำหน้า

That we sign the contract is vital to our company’s survival.
That we sign the contract is vital to our company’s survival.
Signing the contract is vital to our company’s survival.

การลดรูป noun clause เป็น infinitive

1) noun clause นำหน้าด้วย that ที่ทำหน้าที่กรรมของคำกริยาใน main clause สามารถลดรูปเป็น infinitive ได้

He claimed that he had lived on this land for 20 years.
He claimed that he had lived on this land for 20 years.
He claimed to have lived on this land for 20 years.
It’s time that we went home.
It’s time that we went home.
It’s time for us to go home.


2) noun clause ที่นำหน้าด้วย wh-word หรือ whether ลดรูปเป็น infinitive phrase ได้ ในกรณีที่ noun clause มีประธานเป็นบุคคลทั่วไปหรือ you, we และ one และมี modal แสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการลดรูปยังใช้ wh-word ที่เป็นคำนำหน้าและเปลี่ยนคำกริยาให้เป็น infinitive

She asked the referee who should be declared the winner.
She asked the referee who should be declared the winner.
She asked the referee who was to be declared the winner.
Tell me how you can fix the oven.
Tell me how you can fix the oven.
Tell me how to fix the oven.
What we should do depends on the situation.
What we should do depends on the situation.

What to do depends on the situation.

          จากการศึกษาเรื่อง Noun Clause ทำให้ดิฉันเข้าใจได้ว่า Noun Clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เดียวกับคำนามตัวหนึ่ง คือสามารถใช้ประธาน เป็นกรรม เป็นส่วนสมบูรณ์หรือเป็นนามซ้อนก็ได้ Noun Clause จะเชื่อมด้วยคำ what, where, when, why, which, who, whom, whose, how , whether, if และ that ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็น Subject, Direct Object, Indirect Object, Object of a Preposition, Subject Complement, Object Complement และ Appositive ได้ โดยมีการใช้คำนำหน้า สามารถลดรูปเป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้ 3 แบบ ดังนี้ การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น noun phrase , การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น gerund และการลดรูป noun clause เป็น infinitive หลังจากการเรียนในห้องเรียนแล้วนั้น อาจารย์ได้มอบหมายงานให้กลับมาทำเป็นการบ้าน ซึ่งจากการศึกษาในครั้งนี้สามารถทำให้ดิฉันทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ง่ายขึ้น เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ทำงานด้วยความเข้าใจและสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนในครั้งนี้ไปต่อยอดความรู้ในการเรียนระดับที่ยากขึ้นต่อไป


      สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน   


         ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของโลก ใครรู้ภาษาอังกฤษก็สามารถลุยได้ทั่วโลก ทั้งการต่อยอดการศึกษา การทำงานและการทำการค้า การฝึกทักษะต่างๆ ทั้งทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และทักษะการเขียนที่สำคัญในการที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพและเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง แต่การฝึกทักษะทั้งที่สี่นี้ก็ถือเป็นเรื่องยาก หากผู้เรียนไม่สนใจที่จะฝึกฝนและเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้แต่ภายในห้องเรียนนั้น ไม่สามารถทำให้เก่งภาษาอังกฤษขึ้นได้ ต้องมีการเรียนรู้ ศึกษาเพิ่มเติมนอกเวลาเรียนด้วย การเรียนรู้นอกห้องเรียนคือการใช้สถานที่นอกห้องเรียน เป็นห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการเรียนที่เกิดจากความอยากรู้ อยากเห็น ผู้เรียนจะมีการวางแผนด้วยตนเอง และควรเริ่มต้นจากผู้เรียนกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้บุคคลที่เรียนรู้ด้วยตนเอง จะเรียนอย่างตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจสูง สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้ดีกว่า และยาวนานกว่าบุคคลที่รอรับการสอนแต่อย่างเดียว เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล เพราะเราได้ขวนขวายและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และใน ปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถ สื่อสารภาษาอังกฤษได้ ย่อมทำให้ได้เปรียบคนอื่นๆ ทั้งนี้เราก็สามารถฝึกภาษาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองได้หลากหลายวิธี เช่น ฟังเพลง ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ตามที่เราสนใจ เพื่อที่พัฒนาทักษะทางภาษาเหล่านั้น สำหรับตัวดิฉันเองก็อยากเป็นคนหนึ่งที่อยากเก่งภาษาอังกฤษ ดิฉันจึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างมาฝึกทักษะทางภาษาให้เกิดความชำนาญยิ่งขึ้น
          ในวันที่ 6 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ศึกษา 6 วิธีการออกเสียงเวลาพูดภาษาอังกฤษให้ ไม่เหน่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. คำที่ลงท้ายด้วย -tion อย่าออกเสียงว่า ชั่น ให้ออกเสียงว่า เฉิ่น เช่น nation อย่าออกเสียงว่า เนชั่น ให้ออกเสียงว่า เน้เฉิ่น
2. คำที่ลงท้ายด้วย -ing อย่าออกเสียงว่า อิ้ง ให้ออกเสียงว่า อิ่ง เช่น going อย่าออกเสียงว่า โกอิ้ง ให้ออกเสียงว่า โก๊อิ่ง
3. คำที่ลงท้ายด้วย -er/-or อย่าออกเสียงว่า เอ้อ ให้ออกเสียงว่า เอ่อ เช่น teacher และ color อย่าออกเสียงว่า ที้ชเช่อร์ คัลเล่อร์ ให้ออกเสียงว่า ที้ชเฉ่อร์ คั้ลเหล่อร์
4. คำที่ลงท้ายด้วย -ment อย่าออกเสียงว่า เม้นท ให้ออกเสียงว่า เหม่นท เช่น comment อย่าออกเสียงว่า คอมเม้นท ให้ออกเสียงว่า ค้อมเหม่นท
5. คำที่ลงท้ายด้วย -ty -ly -ry อย่าออกเสียงว่า ตี้ ลี่ รี่ ให้ออกเสียงว่า ถี่ หลี่ หรี่ เช่น city lovely very อย่าออกเสียงว่า ซิตี้ เลิ้ฟลี่ เวรี่ ให้ออกเสียงว่า ซิถี่ เลิ้ฟหลี่ เฟ้หรี่
6. คำว่า is/was ถ้าอยู่ในประโยค อย่าออกเสียงว่า อี้ส กับ ว้อส ให้ออกเสียงว่า อิ่ส และ เวิ่อส
และลองฝึกอ่านสองประโยคนี้ แล้วสังเกตว่าการออกเสียงของเราดีขึ้นบ้างมั้ย
He is a very good teacher teaching at a university in the city center.
She was a lovely manager working in an apartment near the train station.
ซึ่งจากการศึกษา 6 วิธีการออกเสียงเวลาพูดภาษาอังกฤษและฝึกออกเสียงจากประโยคสองประโยคนั้น ทำให้ดิฉันรู้สึกว่ารู้วิธีการพูดให้ถูกต้อง และสามารถออกเสียงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

          หลังจากนั้นได้ฝึกฟังและพูดภาษาอังกฤษ จากเว็บไซต์ http://www.englishspeak.com/th/english-lessons.cfm เป็นบทเรียนในโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการสนทนาในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ละบทเรียนมาจากบทสนทนาในชีวิตประจำวัน เพื่อฟังการออกเสียงประโยค , คลิกที่ไอคอนเสียงในคอลัมน์ ออดิโอ เพื่อฟังการออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำ, วางเคอร์เซอร์บนคำศัพท์นั้นๆ ดูความหมายของแต่ละคำศัพท์ภาษาอังกฤษ, คลิกบนคำศัพท์ ซึ่งมีบทเรียนทั้งหมด 100 บทเรียน ดิฉันได้เลือกเรียนไปเฉพาะเรื่องที่สนใจ จำนวน 5 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรกที่ดิฉันได้เลือกเรียนเกี่ยวกับการถ่ายรูป เป็นการขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ ใช้ประโยคที่ว่า Excuse me, sir, will you take a picture of us? ถามวิธีการใช้ How do you use it? และการขอบคุณที่ถ่ายให้ เรื่องที่สอง คือ ฉันเริ่มอ้วน เป็นการถาม – ตอบ เกี่ยวกับน้ำหนัก คุณน้ำหนักเท่าไร? How much do you weigh? ฉัน คิดว่า ประมาณ 170 ปอนด์. I think about 170 pounds. ถามอาหารที่คุณ ทานอาหารประเภทไหน? What kind of foods do you eat? พูดคุยถึงการกินอาหารที่ทำให้อ้วนและวิธีการลดน้ำหนัก เรื่องที่สามคือ ภาษาอังกฤษของคุณ ดีมาก เป็นบทสนทนาถาม โธมัส ว่า ภาษาอังกฤษของคุณ ดีมากๆ คุณเรียนมาจากไหน ? Thomas your English is so good. How did you learn it? และการตอบ อืมม์, ใน ประเทศของผมทุกคนจะต้องเรียน เริ่มเรียนภาษาอังกฤษใน ชั้นป 1.ผมเรียนภาษาอังกฤษมาตลอด 12 ปี แล้วจนถึงตอนนี้. Well, in my country everyone has to take English starting in the first grade. I've been taking English courses for 12 years now. เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษและสภาวะแวดล้อมรอบข้าง เรื่องที่สี่คือ ฉันเป็นนักเรียน ยกตัวอย่างบทสนทนาถาม –ตอบ what do you do for work? I'm still a student. What school do you go to? Boston University เป็นต้น ทั้งเรื่องจะเกี่ยวกับการเรียนทั้งหมด และเรื่องสุดท้ายที่ฝึกฟังและพูดตามได้แก่เรื่อง อ่านหนังสือเตรียมสอบ เป็นการสนทนาถาม-ตอบ ถึงความเป็นอยู่ กำลังทำอะไรอยู่ how have you been? OK, I didn't sleep much last night though. I stayed up until 2AM studying for an exam. จากการเรียนรู้ในนครั้งนี้สามารถฝึกทักษะได้ถึงสองทักษะในเวลาเดียวกัน คือทักษะการฟังและทักษะการพูด

         และสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษจากนิทานอีสป [Aesop’s Fables] เรื่อง The Fox and the Stork (สุนัขจิ้งจอกและนกกระสา) จาก http://www.pasaangkit.com/tag/นิทานภาษาอังกฤษ/ มีเนื้อเรื่องมีอยู่ว่า At one time the Fox and the Stork were on visiting terms and seemed very good friends. So the Fox invited the Stork to dinner, and for a joke put nothing before her but some soup in a very shallow dish. This the Fox could easily lap up, but the Stork could only wet the end of her long bill in it, and left the meal as hungry as when she began. “I am sorry,” said the Fox, “the soup is not to your liking.”  “Pray do not apologies,” said the Stork. “I hope you will return this visit, and come and dine with me soon.” So a day was appointed when the Fox should visit the Stork; but when they were seated at table all that was for their dinner was contained in a very long-necked jar with a narrow mouth, in which the Fox could not insert his snout, so all he could manage to do was to lick the outside of the jar. “I will not apologies for the dinner,” said the Stork 
          ซึ่งเมื่อดิฉันแล้วสามารถแปลและทำความเข้าใจได้ว่า กาลครั้งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกและนกกระสากำลังเริมคบหากันใหม่ๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ดังนั้นสุนัขจิ้งจอกจึงเชิญนกกระสามากินอาหารเย็นที่บ้านและมันได้วางจานซุปแบนๆ ไว้ตรงหน้านกกระสาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สุนัขจิ้งจอกเลียซุปแบนๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่นกกระสาทำได้เพยงทำให้ปลายจะงอยปากของมันเปียกด้วยน้ำซุป มันจึงรู้สึกหิวอยู่ “ข้าขอโทษ”สุนัขจิ้งจอกพูด “ซุปคงจะไม่ใช่อาหารที่เจ้าชอบ” “ไม่ต้องขอโทษหรอก” นกกระสากล่าวตอบ “ข้าหวังว่าอีกไม่นานเจ้าจะไปเยี่ยมข้าเป็นการตอบแทนและกินอาหารเย็นกับข้า” ทั้งสองนัดหมายวันที่สุนัขจิ้งจอกจะมาเยี่ยมนกกระสา แต่เมื่อพวกมันนั่งลงที่โต๊ะ อาหารทุกอย่างกลับถูกบรรจุไว้ในเหยือกทรงสูงปากแคบที่สุนัขจิ้งจอกไม่อาจยื่นปากมันเข้าไปได้ ดังนั้นสิ่งที่มันทำได้คือ เลียอยู่นอกเหยือก “ข้าจะไม่ขอโทษสำหรับอาหารมื้อค่ำหรอกนะ” นกกระสากล่าว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การกระทำเลวอย่างหนึ่ง ย่อมได้รับการกระทำเลวเป็นสิ่งตอบแทน” จากการอ่านในครั้งนี้นอกจากได้ความสนุกของนิทานแล้ว ยังได้ข้อคิดดี ๆ และ คำศัพท์ใหม่ ๆ จากการอ่านและอีกทั้งยังช่วยฝึกทักษะในการแปลอีกด้วย
         ในวันที่ 7 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ฝึกทักษะความรู้เกี่ยวกับ Subject Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words (what, who, where, when, etc.) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค หรือถ้าจะให้พูดง่ายกว่านั้นคือ คำถามนี้ต้องการถามหาประธานที่กระทำกริยา โครงสร้างประโยคของมันก็ง่ายๆ ใช้ question words ที่เราต้องการถาม แล้วตามด้วย verb ได้เลย ง่ายมั้ย!! เช่น
Who ate my cake in the fridge? / Babara did.
What brings you here?

2. Object Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค ซึ่งโครงสร้างประโยคจะแตกต่างจากแบบแรกเพราะต้องใส่ตัวช่วยนั่นคือ (is, am, are, was, were, do, does, did, has, have, had, modal verbs) โดยกริยาช่วยเหล่านี้มันจะไปแทรกอยู่หน้าประธานค่ะ เช่น
Where have you been?
Who did you see on the beach last night?
เพิ่มเติมหลักการใช้กริยาช่วย do, does, did นิดนึงว่า ถ้ามีกริยาช่วยในกลุ่มนี้ปุ๊บ กริยาแท้ในประโยคไม่ว่ามันจะเพิ่มออปชั่นอะไรเข้าไป เช่น เติม s/es หรือ เติม ed/V2 อยู่ให้มันกลับมาเป็น Verb1 หรือ based form ธรรมดาได้เลย จากการศึกษาทำให้ดิฉันเข้าใจขึ้นและสามารถออกข้อสอบเรื่องนี้ได้
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการลองแต่ง Definition Paragraph โดยหาความหมายแล้วนำมาเขียนเป็น Paragraph แต่ดิฉันรู้สึกว่าเขียนไม่ดีจึงได้ศึกษาวิธีการเขียนจากเว็บไซต์  http;//www.myreadwritebooster.wordpress.com/writing-3/2-paragraph-writing-12 paragraph-of - definition. ซึ่งจากการศึกษาก็รู้วิธีการเขียน Definition Paragraph  ดังนี้

1) Write one topic sentence that mention the element that you will define, and be sure to provide              three key defining words or phrase.
2) In about one sentence, explain you first defining word or phrase by telling why this word/phrase         define you subject.
3) Provide on two sentence that give a specific example of your first defining word or phrase.
4) Starting with a transitional phrase, explain your second defining words on about one sentence just like you did for your first defining word/phrase.
5) Write one to two sentence that give an illustrative example of your second defining word/phrase.
6) Explain your third defining key word / phrase the same way that you explained your first and second defining keyword / phrase.
7) End your paragraph with one closing sentence.
หลังจากที่ศึกษา 7 วิธีการเขียนแล้ว ดิฉันเริ่มลองเขียน  Definition Paragraph อีกครั้ง ทำให้ครั้งนี้ผลงานออมาดีกว่าครั้งก่อนหน้านี้ นอกจาก 7 วิธีการเขียนนีเแล้ว ฉันยังได้ฝึกทักษะการแปลไปในตัวอีกด้วย
          ในวันที่ 8 ตุลาคม 58 ดิฉันได้เล่นเกมส์คำศัพท์ภาษาอังกฤษจาก www.kengpasa.com/Games/games.asp. เป็นเกมส์สะสมคำศัพท์จากตัวอักษรภาษาอังกฤษให้เราได้เลือกสะสมคำเอง เป็นการทบทวนความรู้ด้านคำศัพท์ของเราเอง อีกทั้งยังเป็นการพักผ่อน ได้ทั้งความเพลิดเพลินและได้ฝึกฝนศัพท์สนุก ๆ อีกด้วย จากการเล่นเกมส์คำศัพท์ทั้งหมดมีหมวดคำศัพท์ 20 หมวด ดิฉันได้เล่นทั้งหมด 13 เกมส์คำศัพท์ ทำให้รู้สึกสนุก และได้ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ใหม่มากมาย และหลังจากที่เล่นเกมส์นี้เสร็จแล้ว ดิฉันได้เปลี่ยนไปเล่นเกมส์ใน http://www.dek-eng.com ซึ่งมีเกมส์ภาษาอังกฤษทั้งหมด 10 เกมส์ ดิฉันเลือกเล่นเกมส์ทั้งหมดเพื่อความสนุกและสะสมคำศัพท์ ดิฉันเชื่อว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเสมอไป การเล่นก็ไม่จำเป็นต้องไดความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ฉันเชื่อว่า เรียน ๆ เล่น ๆ ก็เก่งได้ โดยสามารถหาประโยชน์จากการเล่นเกมส์ได้ ดิฉันจึงเลือกที่จะเล่นเกมส์สะสมคำศัพท์ทั้งวันเพื่อใหรเาสามารถระลึกคำศัพท์เก่า ๆ ได้ แยกคำศัพท์เป็นหมวด ๆ ได้ สะสมคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้อีกเช่นกัน
          ในวันที่ 9 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ฟังเพลงจาก www.dek-eng.com/2587/คลิปวีดีโอภาษาอังกฤษ/คลิปสอนภาษาอังกฤษ/เรียน-preposition-ภาษาอังกฤษผ่านเพลง.html. เป็นวีดีโอที่เชื่อมมาจาก YouTube ชื่อว่า  preposition by the bazillions เป็นเพลงที่มีเนื้อหาสอนเกี่ยวกับ preposition มีคำศัพท์ in on at และอื่น ๆ มากมายในเพลง หลังจากนั้นดิฉันได้ฝึกการฟังโดยการฟังเพลงสากลและร้องตาม เพลงที่ฟังและฝึกร้องได้แก่เพลง Take me to church ของศิลปิน Hozier เพลง Jealous ของศิลปิน NickJons เพลง  Love me like you do  ของศิลปิน  Fifty shades of grey  เพลง All about the bass ของศิลปิน Meghan Trainor เพลง Bad blood ของศิลปิน Escape THe Fate เพลง Blank space ของศิลปิน  Kristhian Gercia เพลง Lips are movin ของศิลปิน Meghan Trainor เพลง Sugar ของศิลปิน Maroon 5 เพลง New thang ของศิลปิน specify contributing:DjSoda เพลง Shank it of เพลง Thinking out loud ของศิลปิน Ed sheeran เพลง Uptown kunk ของศิลปิน Fifth Hamony และเพลง See you again ของศิลปิน Wiz khalifa จากการฟังเพลงทั้งหมดนี้ทำให้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง ร้องตามได้ฝึกการออกเสียง แต่ดิฉันสามารถร้องตามจนจบเพลงได้แค่เพลงที่คุ้นหูเท่านั้น ดิฉันจึงคิดว่าถ้าหากฟังบ่อย ๆ ก็คงจะเกิดการพั?นามากกว่านี้
          หลังจากที่ฝึกการฟัง ดิฉันได้อ่านนิทานเรื่องสุนัขกับเงา The dog and The Shadow จาก http://engjang.com/article/topic-27743.html จากการอ่านดิฉันได้ทำการค้นหาคำศํพท์และฝึกแปล
ความหมายด้วย ซึ่งนิทานมีอยู่ว่า Once upon a time a dog met a piece of meat unexpectedly. He gripped the meat in this mouth and went straight home to eat. On his way home while he was crossing a bridge over a brook, he saw his own shadow reflected in the water beneath. He misunderstood that it was another dog with another piece of meat double his own in size. With cupidity he wanted that meat also, so barked at the dog in the water threateningly to get his larger piece. But as he opened his mouth, the piece of meat fell out and dropped into the water. He lost both of meat in the water and his own. สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขตัวหนึ่งพบเนื้อชิ้นหนึ่งเรื่องโดยมิคาดฝัน มันคาบเนื้อชิ้นนั้นไว้ในปากและตรงรี่กลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน ขณะที่มันกำลังข้ามสะพานเหนือลำธารสายเล็ก ๆ สายหนึ่ง มันก็เห็นเงาของมันเองสะท้อนอยู่ในน้ำเบื้องล่าง มันเข้าใจผิดว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่งที่มีเนื้ออีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของมันที่อยู่ในปาก ด้วยความโลภ มันอยากได้เนื้อชิ้นนั้นเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเห่าสุนัขที่อยู่ในน้ำอย่างเกรี้ยวกราด เพื่อที่จะได้เนื้อชิ้นที่ใหญ่กว่าแต่ขณะที่มันอ้าปาก เนื้อก็ร่วงหล่นไปในน้ำ มันสูญเสียเนื้อทั้งสองชิ้นทั้งที่อยู่ในน้ำและของมันเอง จากนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าท่านไขว่คว้าเงาอย่างลุ่มหลง ท่านก็จะสูญเสียสาระสำคัญไป
         ในวันที่ 10 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง Abstract Noun เพื่อใช่ทำบทเรียนช่วยสอนภาษาอังกฤษในรายวิชาการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ของอาจารย์อรดา โอภาสรัตนากร ได้ศ฿กษาเกี่ยวกับความหมาย รูปที่มา การทำ Verb ให้เป็น Abstract Noun และวิธีการใช้ ซึ่งศึกษาจาก http://www.writer.dek-d.com/phetaonetolove/story/viewlongc.php?id=567638&chapter=15 เว็บไซต์ที่สอง http://www.englishpractice/com/quiz/Abstract Noun -excercise/ และเว็บไซต์ที่สาม www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID31435 จากการศึกษาพบว่า Abstract Noun  คือ อาการนาม เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผะสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ได้แก่ touch สัมผัสได้ sight มองเห็นได้  hearing ได้ยิน taste ชิง และ smell ได้กลิ่น เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ การกระทำ คุณสมบัติ หรือสภาพ ซึ่งไม่มีตัวตนที่จับต้องได้ มักจะมีคำว่า การ กรือ ความ นำหน้าเสมอ รวมถึงชื่อศิปวิทยาการต่างๆ ด้วยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำนามที่นับไม่ได้ ซึ่งมีรูปมาจากคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำนามบางคำได้ด้วย หลักจากท่ศึกษาข้อมูลแล้วนั้น ดิฉันได้ลองทำแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบความเข้าใจจาก http://www.ru-eng1001.blogspot.com/2013/09/exercise-6-identify-abstract-nouns.html. ดิฉันสามารถทำเเบบฝึกหัดได้ถุกต้องและเข้าใจเนื้อหาที่ศึกษา พร้อมที่จะนำไปทำเป็นสื่อการสอนต่อไป
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจาก www.listenaminute.com เป็นการฟังพร้อมมีแบบฝึกหัดให้ทำหลังจากการฟัง มีบทเรียนเกือบ 100 บทเรียน ดิฉันได้ลเือกฟัง 4 เรื่อง คือเรื่อง friend พูดเกี่ยวกับเพื่อนที่ดีที่สุดเปรียนเสมือกครอบครัว เรื่องที่สองคือเรื่อง exercise เกี่ยวกับการออกกำลังการอย่างไรให้สุขภาพเเข็งแรง เรื่องที่สาม คือเรื่อง food และเรื่องที่ สี่ คือเรื่อง health จากการฟังบทเรียนนี้สามารถทำแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบความเข้าใจได้เลย มีหลายรูปแบบ เช่น เติมคำให้ถูกต้อง ทำคำให้ถูกต้อง เขียนคำถามจากคำที่กำหนดให้ เขียนเป็น paragraph และอื่น ๆ อีก สามารถเลือกทำได้ตามความสนใจ นอกจากนี้ยังมีบทความของเนื้อเรื่องที่ฟังและมีคำศัพท์ยากแยกให้อีกด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เมื่ออ่านบทความนี้เเล้ว ดิฉันได้ฝึกการออกเสียงโดยการรร้องเพลง จำนวน 3 เพลง ได้แก่เพลง sugar,see you again และเพลง shake it out ซึ่งดิฉันฟังเพลงนี้อยู่ 5-6 รอบ จึงสามารถร้องได้ รอบแรกดิฉันร้องพร้อมกับเพลงโดยไม่ดูเนื้อร้อง ทำให้ร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง รอบที่ 2-3 ร้องโดยดูเนื้อเพลง สามารถร้องได้แต่ตะกุกตะกัก ไม่ทันเนื้อเพลงทำนอง และหลังจากนั้น ดิฉันก็ร้องเพลงโดยดูเนื้อเพลงอีก 1 รอบ แล้วลองร้องสด ทำใหร้องได้จนจบเพลง ดิฉแันสามารถร้องเพลงได้เพราะฟังเพลงหลาย ๆ ครั้งให้คุ้นหูแล้วร้องตาม ได้ทั้งทักษะการฟังเพลงและการออกเสียง
          ในวันที่ 11 ตุลาคม ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง phrase เน้เฉพาะไปที่ verb phrase เพราะต้องสอบสอนในรายวิชาภาษาศาสตรา์สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษ ของอาจารย์ดิศราพร สร้อยญาณะ และหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและทำสื่อการสอนด้วย ดิฉันได้หาข้อมูลจากหลายเว็บไซต์เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เว็บไซต์ http://www/sakiyah-phrase.blogspot.com http://www/tutormax.wordpress.com/2011/04/21/phrase/ www.krumac.com/2014/12/phrase.html.และจาก http://www.stou.ac.th/school/sla/englishwriting/cd-rom/modula4/presentation.html. จากการศึกษานี้ทำให้ดิฉันทราบว่า phrase คือ วลี กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียงกันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค เช่น เป็นประธาน เป็นกริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้ประกอบด้วยทั้งภาคประธานและเเสดง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ noun phrase จะมีคำนามเป็นหลัก verb phrase จะมีคำกริยาเป็นหลัก adjective phrase จะมีคำคุณศัพท์เป็นหลัก adverb phrase จะมีคำกริยาวิเศษณ์เป็นหลัก และ preposition phrase จะมีคำบุพบทเป็นหลัก วันนี้ดิฉันได้เลือกเรียนเรื่อง verb phrase และทราบว่าจะประกอบด้วย main verb และ auxiliary verb ประกอบอยุ่ และอาจจะมีคำกริยามากกว่า 1 คำก็ได้ เช่น
 Jane will work on a night shift
will work เป็น  verb phrase ซึ่งมี work เป็น main verb และ will เป็น auxiliary verb
Jane will  be working on a night shift next week
will  be working  เป็น  verb phrase ซึ่งมี working เป็น main verb และ will เป็น auxiliary verb
ซึ่ง verb phrase นี้จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยา คือบอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทำอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับประธานของประโยค จากการศึกษาทำให้ดิฉันเข้าใจ verb phrase มากยิ่งขึ้นและสามารถทบทวน main verb และ auxiliary verb ไปในตัวอีกด้วย
         หลังจากที่ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง verb phrase เสร็จแล้ว ดิฉันได้ฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากการเล่นเกมส์ เพื่อให้มีความรู้ทางคำศัพท์มากขึ้นและเพื่อคลายเครียด โดยเล่นเกมส์จากเว็บไซต์ออนไลน์ www.grammarbank.com/animals-word-games.html. เกมส์ที่เลือกเล่นเป็นหมวดสัตว์ มีเป็นเกมส์ cross word , puzzle ดิฉันได้เลือกเล่นทั้งสองแบบ มีรูปภาพประกอบสวยงาม มีความน่าสนใจและง่านต่อการจำจำคำศัพท์ ศัพท์ส่วนใหญ่เป็นคำที่ฉันรู้อยู่แล้ว เป็นคำง่าย ๆ ดิฉันจึงสามารถเล่นถูกหมดทุกข้อ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนหมวดคำศัพท์ไปเล่นศัพท์หมวดคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ในคราัว ดิฉันไม่ค่อยรู้ศัพท์ด้านี้ จึงเล่นไม่ค่อยได้ หลังจากนั้นได้เล่นเกมส์สะกดคำศัพท์เรื่อง อาชีพ จาก http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/เกมส์สะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเด็ก ๆ-spelling-bee-jobs/. เป็นศัพท์ง่าย ๆ เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ที่รู้จักกันดี จำนวน 100 อาชีพ เกมส์ต่อมาที่เล่นคือ put it on the sheaf เป็นเกมส์ที่สะสมคำศัพท์เกี่ยวกับสี โดยมีสีและคำศัพท์มาให้ แล้วให่เรามาเลือกให้ตรงกัน จากเว็บไซต์ http://gamecenter.kapook.com/flashgames-100400. เมื่อเล่นเกมส์เสร็จ ดิฉันได้ทดสอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 350 คำ จากเว็บไซต์ http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/ทดสอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 350 คำ/ พบว่าจากการทดสอบครั้งก่อนหน้านี้และกับทดสอบใหม่ครั้งนี้ ดิฉแันทำแบบทดสอบได้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน และคิดว่าหากได้ฝึกสะสมคำศัพท์บ่อย ๆ ก็คงสามารถทำได้ทุกข้อ หลังจากที่ฝึกมา 2-3 ครั้งแล้ว ดิแฉํนสังเกตตัวเองด้านคำศัพท์ รู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ที่เมื่อก่อนต้องเปิด Dictionary ทุกคำ แต่ตอนนี้สามารถทายคำศัพท์และรู้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ หากเป็นคำง่าย ๆ และเคยใช่แล้ว
          นอกจากนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง จาก www.bbc.co.uk/learningenglish/english/course/intermediate/untit-23/session-5 ฟังเรื่อง Drama ดิฉันได้ฟังประมาณ 3-4 ครั้ง และเมื่อฟังจบก็ทำกิจกรรมตอบคำถามล่างวิดีโอที่ฟังได้ ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 คำถาม ในบทเรียนนี้จะแยกคำศัพท์ยากไว้ให้พร้อใบอกความหมายเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องที่สองที่ฟั คือ Do we read to show off ? มีบทความให้ว่า  What do you read when you are on the bus or train ? Somepeople might hold a copy of a clasic novel toimpress other commuters. Nali and Alice discuss people's readind habits. ดิฉันไม่เข้าใจจึงแปลบทความนี้ด้วยและตอบคำถามที่กำหนดมาให้หลังจากที่ฟังเสร็จแล้ว มีคำศัพท์บอกความหมายเป็นภาษาอังฤษด้วย เพื่อให้แปลความหมายได้โดยไม่ต้องเปิด  Dictionary  ไทย - อังกฤษ อีก หลังจากฟังแล้ว ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจจึงฟังซ้ำ ๆ หลายรอบ แล้วเปิดดูสคริปอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจ
          ในวันที่ 12 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียน โดยการเขียงานส่งในรายวิชาการเขียน (Paragraph Writing) ของอาจารย์ อรดา โอภาสรัตนากร เขียน 2 Paragraph ได้แก่ definition paragraph  และ process paragraph  ก่อนการเขียน ดิฉันได้ศึกษาการใช้คำต่าง ๆ คำเชื่อม คำศัพท์ ทำ outline ก่อนลงมือเขียน ค้นคว้าเกี่ยวกับ definition of beauty และการเขียนอธิบายว่าใช้อะไรได้บ้าง เช่น as define as, mean as เป็นต้น ศึกษาว่า definition paragraph  คืออะไร เขียนยังไง และได้รู้ว่า definition paragraph  is a paragraph explaining a term or subject, So your audience comphenends the topic of the paragraph. This can be dove in three different way: Synonym,class and negation คือ definition paragraph คือการเขียนอธิบายคำ หรือหัวข้อสั้น ๆ เพื่อความเข้าใจ หลังจากที่ศึกษา ดิฉันลองเขียนด้วยตนเองสั้น ๆ ว่า beauty is define as the combination of all the qualities of a person or thing that the senses and please the mine or very attractive and well formed girl or women. สามารถเขียนได้ด้วยความมั่นใจ
          ในวันนี้ดิฉนได้ทำการบ้านและได้เปิดเพลงสากลฟังไปด้วย เพลงที่ฟังได้แก่เพลง we run the night ของศิลปิน Havana Brown เพลง Papi ของศิลปิน Jennifer Lopez เพลง firework ของศิลปิน Katy Perry เพลง crazy in love ของศิลปิน Beyonce เพลง whistle ของศิลปิน Flo Rida เพลง give me everything ของศิลปิน pitbull เพลง who's that chick ของศิลปิน David Guetta feat Rihanna และเพลงอื่น ๆ อีกหลายเพลงในขณะที่ทำงาน เหตุผลที่ดิฉันเลือกที่จะเปิดเพลงในขณะที่กำลงัทำงานอื่นนั้น เพราะดิฉันเชื่อว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สนมจฟัง แต่ก็สามารถซึมซับเนื้อเพลงไปได้เอง ก็คือการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราให้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดความคุ้นหูและชินไปเอง จนวันหนึ่งสามารถที่จะร้องและได้สำเนียงการร้องเพลงจากเนื้อเพลงมา ทำมห้เราสามารถพูดสำเนียงฝรั่งได้ถูกต้องและน่าฟังยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังเพลิดเพลินกับเพลงอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงชอบเปิดเพลงสากลในระหว่างที่ทำงาน
          จากการฝึกทักษะต่าง ๆ ทั้งการพูด การฟัง การอ่าน และเขียนทางภาษาอังกฤษภายใน 1 สัปดาห์นี้ นอกจากได้ความรู้และการพัฒนาตนเองแล้วยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นประจำ เพื่อช่วยให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะการใช้เวลาว่างมาฝึกทุกวัน การเรียนภาษาก็จะได้ผลดี เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากการฝึกฝนบ่อย ๆ นอกจากศึกษาภายในห้องเรียนแล้วจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อเพิ่มทักษะและพัฒนาทักษะของตนเองให้ดียิ่งขึ้นไป ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย มีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มีสื่อที่หลากหลาย ล้วนสะดวกและประหยัดเวลาในการเรียนรู้ทั้งสิ้น สำหรับตัวดิฉันเองหลังจากการเรียนรู้และฝึกฝน พัฒนาทักษะทาภาษาแล้ว สังเกตตัวเองและรู้สึกได้ว่าหลังจากที่เรียนเสร็จรู้สึกมีความรู็เพิ่มขึ้น มีคำศัพท์มากขึ้น และสามารถนำความรู้จากการศึกษาไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้อีกด้วย สามารถพัฒนาทักษะด้านการฟังได้ดีกว่าทัษธอื่นๆ เพราชอบฟังเพลงสากล ทำให้เกิดการเรียนรู้ง่ายกว่าเดิม ดังนั้นดิฉันจึงเน้นการฟังทุกวันและฝึกทักษะอื่นประกอบด้วย โดยเฉพาะ คลังคำศัพท์ เรพาะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน หากไม่รู้คำศัพท์ก็ไม่สามารถใช้และเะข้าใจภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษได้มีความแตกต่างกันมาก หากผู้เรียนสนใจและศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็จะสามารถใช้ความรู้ได้อย่างถูกต้อง พูดได้อย่างคล่องแคล่วชัดเจนอีกด้วย