วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 29 กันยายน

สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน 


          หลายคนคงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนภาษาอังกฤษด้วยการท่องจำและก็คงยากที่จะหาวิธีอื่น ๆ มาใช้ในการฝึกฝน เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้และใช้ภาษาของตนเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีแหล่งเรียนรู้มากมายให้เลือกตามความถนัดและสนใจของผู้เรียน แต่ทั้งนี้การจดจำและเรียนรู้ศัพท์รวมไปถึงสำนวนต่าง ๆ (Idom) ในภาษาอังกฤษ ยิ่งรู้ศัพท์และสำนวนเหล่านี้มากเท่าไร การพูดภาษาอังกฤษของคุณก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่า วิธีหนึ่งในการจดจำและเรียนรู้สำนวนต่าง ๆ ก็คือการพูดคุยกับฝรั่ง ซึ่งจำทำให้สามารถใช้ศัพท์และสำนวนได้อย่างถูกต้องและฟังดูเป็นธรรมชาติ หรือการแปะป้ายคำศัพท์ไว้ในสิ่งต่าง ๆ รอบบ้าน เมื่อใช้สิ่งของต่าง ๆ เหล่านั้น ก็จะเห็นคำศัพท์ของสิ่งของนั้น ๆ และก็จะจดจำได้ในที่สุด ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่ต้องอายเวลาที่คุยกับฝรั่งและเกิดลืมคำศัพท์ไป เพราะคุณสามารถค้นหาความหมายของศัพท์นั้นได้ทันทีและการรู้คำศัพท์มากนั้นก็จะเป็นพื้นฐานในการเรียนภาษาง่ายขึ้น ดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เบื่อการท่องจำ จะไปคุยกับฝรั่งก็เขิน กลัวพูดออกไปแล้วกลัวฝรั่งไม่เข้าใจ แต่ด้วยเหตุที่ว่ารู้คำศัพท์น้อยจึงจำเป็นต้องเรียน ท่องคำศัพท์และฝึกฝนมากยิ่งขึ้น ทำให้ดิฉันเลือกใช้เวลาว่างหลังจากการเรียนในระหว่างวันที่ 29 กันยายน – วันที่ 5 ตุลาคม 58 มาเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะใช้คำศัพท์และสำนวนนั้นไปติดต่อสื่อสารได้

          ในวันที่ 29 กันยายน ดิฉันเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษจาก Applications ผ่านมือถือ Smart phone โหลดแอปฯ เกมส์ทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จะเป็นแอปฯ ที่เกี่ยวกับศัพท์ง่าย ๆ จะมีรูปภาพและตัวอย่างประโยคขึ้นมาให้เราสะสมคำ พิมพ์คำศัพท์ลงไป เมื่อตอบถูกจะมีการแปลความหมายให้ ซึ่งเป็นเกมส์ฝึกสมอง สุดมัน จะมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับ ซึ่งเกมส์นี้ถือเป็นการฝึกศัพท์ที่ดี เพราะช่วยให้รู้ในการสะกดคำ มีรูปภาพ มีความหมาย ของศัพท์นั้น ๆ เลย มีเนื้อหาครบ ชัดเจน ง่ายต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ และยังมีสีสันสดใสน่าเรียนอีกด้วย ตัวฉันได้เรียนจากเกมส์นี้โดยเริ่มจาก level 1 แล้วผ่านด่านต่อไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้ได้ level 20 กว่า ๆ แล้ว นั้นถือเป็นความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ของเราว่ารู้มากน้อยเพียงใด แล้วตอนนี้ดิฉันก็ได้เล่นเกมส์นี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้รู้ศัพท์ที่ยากขึ้นอีกในระดับหนึ่ง

         หลังจากที่โหลดแอปฯ เกมส์ทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษแล้ว ก็เริ่มสนุก จึงโหลดอีกเกมส์หนึ่ง คือ เกมส์ทายศัพท์ เพิ่มศัพท์ใหม่ เป็นเกมส์เกี่ยวกับคำศัพท์หมวดอุปกรณ์การเรียน จำพวก การบ้าน กระดาษ สมุดบันทึก และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจะแบ่งคำศัพท์ต่าง ๆ เป็นระดับ level โดยจะต้องผ่านแต่ละระดับไปเรื่อย ๆ พร้อมเฉลยคำตอบอย่างละเอียดทั้งความหมายในรูปของคำนาม กริยา และคุณศัพท์ รวมถึงคำพ้องความหมายและคำตรงกันข้าม นอกจากนี้ยังมีตารางคะแนน top 100 score อีกด้วย ซึ่งเกมส์เหล่านี้จะช่วยฝึกและทบทวนคำศัพท์ของตัวดิฉันเองด้วย

          ในวันที่ 30 กันยายน ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการฟังเพลง โดยฟังจากเว็บไซต์ Http://www.esolcourse.com/content/topics/song/Britpop/price/tag.html. เพลงที่ฟังคือ เพลง Price Tag ของศิลปิน Jessie ในเว็บนี้จะมีวีดีโอคลิป MV เพลงให้ฟังและดู พร้อมทั้งมีแบบฝึกหัดเกี่ยวกับเพลงเป็น Grammar Gap Fill การเติมคำแกรมม่าลงในช่องว่างจากเนื้อเพลงที่ฟัง โดยตัวดิฉันเองได้ฟังเพลงจำนวน 1 ครั้ง แล้วไปทำแบบฝึก ผลปรากฏว่าทำได้เพียงบางข้อ จึงกลับไปฟังเพลงนี้อีก 3-4 รอบ จึงเติมคำในช่องว่างได้ครบถ้วนทุกช่อง ซึ่งคำที่เติมนั้นก็จะมีคำกำหนดมาให้แล้ว เมื่อทำเสร็จก็สามารถตรวจคำตอบได้เลยว่าถูกหรือผิด การฟังเพลงนี้ทำให้ดิฉันฟังภาษาอังกฤษได้เข้าใจมากขึ้น รู้สำเนียง การออกเสียง รู้เนื้อเพลง มีแบบฝึกทดสอบแกรมม่าในเนื้อเพลง อีกทั้งยังสนุกสนานไม่น่าเบื่อหน่ายอีกด้วย พูดได้เลยว่าได้ทั้งความรู้และความสนุก

          เพลงที่สองที่ดิฉันได้ฟังคือเพลง Firework Katy ของศิลปิน Perrry ซึ่งเข้าฟังจากเว็บไซต์เดิมเพียงแต่เปลี่ยนเพลง และยังทำแบบฝึกหัดเหมือนเดิม ทุกประการ หลังจากที่เพลงจบ ดิฉันก็ปล่อยให้เพลงเล่นไปเรื่อย ๆ แต่ดิฉันได้มาทำแบบฝึกหัดวิชาการเขียน จึงได้ทบทวนแกรมม่าเรื่อง Tense จากเว็บไซต์ http://www.kr.ac.th/eBook/ben/tob.html.com เป็นข้อสอบระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 20 ข้อ เรื่อง Present Tense และอีกเว็บไซต์จาก http://www.proprof.com/quiz-school/story.php?title=sasasa-sa-tense.com เป็นข้อสอบการใช้ Tense จำนวน 10 ข้อ ซึ่งหลังจากทำเสร็จก็สามารถตรวจคำตอบได้เลย ดิฉันทำได้คะแนนผ่านครึ่งของคะแนนทั้งหมด ทำให้ทราบถึงระดับความรู้ของตนเองด้วย

          ในวันที่ 31 กันยายน ดิฉันได้ดูหนังเพื่อฝึกทักษะการฟังภาษาภาษาอังกฤษ เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน จะช่วยให้เราจดจ่อกับการฝึกฝนได้นานขึ้น และในการดูหนังสามารถพัฒนาได้หลายทักษะ หนังที่ดูได้แก่เรื่อง Interstellar มีเรื่องราวในยุคช่วงปลายของโลกที่ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้นลงตามวัฏจักรแห่งจักรวาล มนุษยชาติกำลังต้องเผชิญกับความยากแค้นขาดแคลน ซึ่งอาหารและต้องผจญภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ หนทางในการปัญหามีทางเดียว ซึ่งไม่เหลือทางเลือกสำหรับการกอบกู้โลกด้วยวิธีใดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นทางเลือกที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิงกับการเดินทางข้ามสู่กาแล็คซี่อันไกลโน้น เพื่อค้นหาดาวดวงใหม่สำหรับมนุษย์ เนื้อหาในหนังสนุกมาก จากการดูหนังในครั้งนี้ทำให้รู้ศัพท์ใหม่ ฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษและการอ่าน sub title จากเนื้อเรื่อง การดูหนังครั้งเดียวสามารถฝึกได้หลายทักษะ

          หนังอีกเรื่องที่ได้ดูในวันถัดมาคือ Riddick เป็นหนังเกี่ยวกับชนเผ่าดาวฟิวรี่ที่ถูกหักหลังและทิ้งให้ตายบนดาวเคราะห์ที่เขาต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากสัตว์ประหลาดเอเลี่ยน และไม่นานหลังจากนั้น เหล่านักล่าค่าหัวก็ตามมาหวังสังหารริดดิค ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะสมสำหรับริดดิคที่จะแก้แค้นศัตรู ก่อนที่จะกลับไปช่วยดาวเคราะห์ที่บ้านเกิดจากการถูกทำลายล้าง เป็นหนังเอ็กชั่นผจญภัยที่ดิฉันดูแล้วรู้สึกคึกเหอมตามอารมณ์ไปด้วย ในหนังจะเป็นคำพูดภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะการฟัง ซึ่งค่อนข้างพูดเร็ว ฟังไม่ค่อยทันแต่สามารถอ่าน sub title ไทยได้ ทำให้ดิฉันจดจ่ออยู่กับหนังเรื่องนี้และอ่าน sub title ทำให้เข้าใจมากขึ้น

         ในวันที่ 2 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะ การอ่าน จาก http://www.listenminute.com/c/chirstrna3.html. เรื่อง Christmas ในเว็บไซต์นั้นฝึกทักษะการฟังแต่ดิฉันฝึกทั้งการอ่านและการฟัง โดยอ่านบทความที่มีมาให้จำนวน 1 รอบ แล้วไปทำแบบฝึกการเติมคำในบทความนั้น ซึ่งฝึกทักษะการจำอีกทางหนึ่งด้วย หลังจากทำเสร็จจึงไปฟังบทความนี้อีกหนึ่งรอบทำให้เข้าใจมากขึ้น แล้วมาดูคำตอบที่ทำ และฟังอีกรอบ มาอ่านอีกครั้ง แล้วไปตรวจคำตอบที่ทำผลปรากฏว่าจากการอ่านและฟัง เรื่อง Christmas และทำแบบฝึกหัดหลังการเรียนรู้ทำให้เติมคำได้ถูกต้อง 7 คะแนน จาก 10 คะแนน

          อีกเรื่องที่ฟังคือเรื่อง Coffee ดิฉันได้อ่าน 1 รอบ แล้วฟังบทความนั้น 2-3 รอบ คำศัพท์ในบทความไม่ยาก เข้าใจง่ายหลังจากนั้นไปฟังแบบทดสอบ Quiz 1 แล้วตรวจคำตอบผลปรากฏว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ดิฉันจึงกลับมาฟังใหม่อีกรอบ แล้วไปดู Word คือคำศัพท์ยากซึ่งหลังจากการฟังและอ่านผ่านสายตาหลายรอบแล้วนั้นทำให้จำได้ว่า คำไหนหายไป และเติมได้อย่างถูกต้อง

          ในวันที่ 4 กันยายนดิฉันได้ฝึกทักษะการพูด โดยเป็นการพูดคุยกับชาวต่างชาติที่นั่งรถโดยสารมาด้วยกัน แล้วชาวต่างชาติไม่รู้เส้นทาง พูดคุยกันมาตลอดทางฝรั่งกลุ่มนี้มากัน 4 คน ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย 2 คน เป็นชาวอเมริกา แต่มาอยู่เมืองไทยบ่อย เพราะมีญาติอยู่ที่สิชล แต่วันนี้พาเพื่อนมาด้วย คนที่คุยกับดิฉันชื่อโจฮัน เขาสามารถพูดไทยได้บางคำเป็นคำพื้นฐานทั่วไป เช่นคำว่า สวัสดีครับ ขอบคุณครับ ลาก่อน เป็นต้น เขาต้องการไปอำเภอหาดใหญ่จึงถามดิฉันว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง สถานที่ใดน่าสนใจ ฉันจึงตอบกลับไปและคุยกับโจฮันถึงในตัวเมืองจากการที่ได้คุยกับชาวต่างชาติ ดิฉันยังรู้สึกกลัว ไม่กล้าคุยด้วย กลัวพูดผิด แต่พอพูดไปก็สนุก โจฮันเป็นคนที่พูดไม่เร็วมาก ฟังง่าย ทำให้ฉันสามารถพูดคุยกับเขาได้

          จากการศึกษาด้วยตนเองในครั้งนี้ ดิฉันได้พัฒนาทักษะการอ่าน การฟัง การพูด และสะสมคำศัพท์จากเกมส์ซึ่งในการเรียนรู้นี้ ทำให้ตัวดิฉันพัฒนาทักษะเหล่านั้น ได้มากกว่าเดิมและยังสะสมคำศัพท์ได้เพิ่มขึ้นอีกเช่นการ การเรียนด้วยตนเองนี้ นอกจากเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว ทำให้ได้ความรู้และความสนุกสนาน ไม่เกิดอาการเบื่อหน่าย ซึ่งแต่ละวิธีที่ดิฉันได้ศึกษาเพิ่มเติมนั้นเป็นวิธีการง่ายๆ สะดวกต่อการเรียนรู้ และสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ฉะนั้นผู้ที่สนใจและอยากเก่งภาษาอังกฤษ อย่ามัวนั่งนิ่งเฉย เอาเวลาว่างมาเรียนรู้ เสริมทักษะให้ตนเอง เป็นคนเก่ง คนฉลาด ดีกว่า เพื่อสามารถนำความรู้ไปใช่ในการทำงาน การเรียน หรือการท่องเที่ยว และเพื่อรับรองประชาคมอาเซียนในปลายปี 2558 นี้ด้วย

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 22 กันยายน


      สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน      


          การเรียนที่ดีและประสบความสำเร็จล้วนเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญที่ผู้เรียนปรารถนา แต่การเรียนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ถือเป็นเรื่องยาก หากผู้เรียนเพียงแต่อยากเป็นคนเก่งแต่ไม่ลงมือเรียนรู้อย่างเต็มที่ ในปัจจุบันนี้มีแหล่งเรียนรู้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายที่สนับสนุนทางด้านการศึกษา มีการประดิษฐ์ คิดค้น พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนได้ ซึ่งการเรียนภาษาที่ได้ผลดี คือ การกลับมาทบทวนความรู้หลังจากเรียนรู้ในห้องเรียนพร้อมทั้งค้นคว้าเพิ่มเติมให้เกิดความรู้ใหม่ การเรียนนอกห้องเรียนอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม สะดวกสบาย ง่ายต่อการเรียนรู้ และยังทำให้สนุกเพลิดเพลิน นั่นก็คือการเรียนจากเว็บไซต์ YOUTUBE โดยจะมีวิดีโอการศึกษาให้เลือกจำนวนมาก ซึ่งตัวดิฉันเองก็ได้เลือกที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองด้านภาษาด้วยวิธีนี้เกี่ยวกับเรื่อง If Clause ที่ได้เรียนแล้วในห้องเรียนแต่ยังไม่เข้าใจ จึงเรียนจากวิดีโอเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น         
            จากการเรียนในชั้นเรียนทำให้ฉันเข้าใจว่า ประโยค If-clause If Clauses หรือ Conditional Sentences คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วยconjunction “if” ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clause และประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า main clause เช่น If it rains , I shall stay at home. อธิบายได้ว่า If it rains เป็น If-clause และ I shall stay at home เป็น main clause ซึ่งสามารถ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ         
           1. TYPE ONE เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคตแสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible condition) คือ ประโยคเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน เวลาพูด If-clause แบบที่ 1 นี้ ส่วนใหญ่โอกาสจะเป็นไปได้สูง เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบัน ดังนั้น tense ที่จะมาเกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้น present simple tense เพราะมันเป็น tense ที่บอกข้อเท็จจริง present simple จะไปใช้ในประโยคที่มี if หรือประโยคเหตุ ส่วนประโยคผลเราใช้ เป็น future simple โครงสร้างเป็นแบบนี้If + Present simple, Subject + will + V1 เช่นIf I finish my work before 6 o’clock, I will pick you up.What will you do if she refuses your proposal?If water is heated, it boils.If ice is heated, it melts.If a metal is heated, it expands.If it is fine, Jim usually walks to school.If you hurt dogs, they bite you.ในส่วนของประโยคที่มี if อาจจะใช้ present tense อื่นๆก็ได้ เช่น present continuous ตามแต่สถานการณ์ เช่น If you’re trying to be normal, you will never know how amazing you can be.       
            2. TYPE TWO เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (impossible condition) คือ ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน พูดง่ายๆคือสิ่งที่เราสมมติหรือมโนขึ้นมาเอง เช่น ถ้าฉันเป็นเธอ หรือ ถ้าฉันเป็นนก หรือ ถ้าฉันมีเงินพันล้าน อะไรประมาณนี้ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากมากๆ ก็เข้าข่ายแบบที่ 2 นี้ ส่วน tense ที่จะใช้ใน If-clause แบบที่ 2 นี้ก็คือ past simple ที่ใช้ tense ที่เป็นอดีต เพราะเหตุการณ์นี้เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็น present simple แต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไป จึงใช้ past simple แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง โครงสร้างของ If-clause แบบที่ 2 คือ If + past simple , Subject + would + V1 เช่นIf I had a private jet, I would go to Switzerland.If you were the Prime Minister, what would you change about this country?มีข้อยกเว้นนิดนึงตรงที่ ถ้าหากว่าประธานเป็น I, she, he กริยาจากที่เคยใช้ I was, she was, he was ก็จะเปลี่ยนเป็น I were, she were, he were เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้น หรือจำง่ายๆว่าไหนๆมันก็เป็นเรื่องสมมติแล้ว เราก็สมมติให้ were ใช้กับ I, she, he ได้ก็แล้วกัน เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เราพูดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง เช่น If Leon’s mother were alive, she would still be a professor in Oxford University.    
          3. TYPE THREE เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต คือ ประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต หรือเป็นการสมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น หรือถ้ามันเกิดขึ้นก็สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้น Tense ที่ใช้เราจะใช้ past perfect tense  โครงสร้างหน้าตามันเป็นแบบนี้ If + past perfect, Subject + would have + V3 เช่นIf I had set my alarm clock, I wouldn’t have got up late.I and Jack wouldn’t have known each other if he hadn’t been my brother’s friend.You didn’t go to the party last night.You didn’t meet your girlfriend.ซึ่งประโยค If-clause If Clauses หรือ Conditional Sentences นี้จะขึ้นต้นด้วยประโยค If-Clause หรือ Main Clause ก็ได้ เช่น If I had some money, I would go abroad. หรือ I would go abroad if I had some money. เป็นต้น
           นอกจากการเรียนในชั้นเรียนแล้ว ดิฉันก็ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทบทวนความรู้และให้ความรู้เพิ่มเติมอีก ทำให้ได้รู้เกี่ยวกับการละรูปของ If Clause แต่ละประเภทอีกด้วย        
            1. การละรูป if ใน Type 1 สามารถทำได้ โดยใช้ should แทน ifa) If you see Katty , tell her I want her. = Should you see Katty , tell her I want her.b) If the weather is too bad, we won’t go for a picnic. = Should the weather be too bad , we won’t go for a picnic. (หลัง should ตามด้วย V1)c) If you should find it, please send it to me. = Should you find it , please send it to me.ประโยคที่ใช้ if และ should ดังกล่าวนี้มีความหมายเหมือนกัน แต่ประโยคที่ใช้ should นิยมใช้ในภาษาเขียน       
              2. การละรูป if ใน Type 2 จะใช้กับกริยา were– If I were you, I would go to study abroad. =Were I you, I would go to study abroad.– If I were a bird, I would fly all over the world. = Were I a bird, I would fly all over the world.เราใช้ were กับประธานที่เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น if I were , if he were , if she were ,if they were , เป็นต้น เพราะเป็นการสมมติจากจินตนาการ แต่ถ้าใช้ was กับประธานเอกพจน์ก็ได้ เช่นกันเช่น If I was, ect….นอกจาก would ที่ใช้ใน main clause แล้ว ยังมีกริยาช่วย should , might , could ที่สามารถใช้ใน conditional Type Two นี้ได้อีก แต่ความหมายแตกต่างกันออกไป– If she came, I should/would see her. (แสดงผลที่จะเกิดขึ้นตามสมมติ certain result)– If she came, I might see her. (แสดงการคาดคะเน possibility)– If it stopped snowing, he would go out. (Certain result)– If it stopped snowing, you could go out. (Permission, ability)   
             3. การละรูป if ใน Type 3 ความเป็นจริงในอดีตความเป็นจริงในอดีต : I didn’t pass the exam last semester. I didn’t study hard.สิ่งสมมุติ : I would have passed the exam last semester if I had studied hard.= Had I studied hard, I would have passed the exam last semester.ความเป็นจริงในอดีต : My wife was so angry with me. I forgot that yesterday was her birthday.สิ่งสมมุติ : My wife wouldn’t have been so angry with me if I hadn’t forgotten that yesterday was her birthday.=Had I not forgotten that yesterday was my wife’s birthday, she wouldn’t have been so angry with me.ความเป็นจริงในอดีต : I had an accident last year . I drove the car very fast.สิ่งสมมุติ : I wouldn’t have had an accident last year if I hadn’t driven the car very fast.= Had I not driven the car so fast, I wouldn’t have had an accident last year.)        
           จากการศึกษาทำให้ดิฉันได้วิธีการจำว่า If-clause แต่ละแบบใช้ tense อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ แบบที่ 1 เป็นไปได้ในปัจจุบัน ใช้ present simple ธรรมดา แต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องสมมติขึ้นมา ฉะนั้นเราจะถอย tense ไปหนึ่ง tense เพื่อแสดงว่ามันคือการสมมติ คือ แบบที่ 2 เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน จาก present เราเปลี่ยนเป็น past simple และ แบบที่ 3 เป็นไปไม่ได้ในอดีต จากคำว่า อดีตมันควรจะเป็น past simple เราก็ถอยไปเป็น past perfect และจากการศึกษาเพิ่มเติมได้รู้เกี่ยวกับการละรูปของ IF-CLAUSE อีกด้วย ซึ่งการเรียนในห้องเรียนและศึกษาเพิ่มเติมเองในครั้งนี้ทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดความรู้และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องแหละเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เกิดความรู้และความสนุกสนานอีกด้วย


      สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน      

  
          ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วในความสำคัญของภาษาอังกฤษที่กำลังทวีคูณยิ่งขึ้นอยู่ในตอนนี้และรวมถึงในอนาคตนี้อีกด้วย ทุกคนจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเพื่อติดต่อสื่อสารกับต่างชาติได้ แต่ก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับระดับภาษาของภาษาที่ต่างคนย่อมมีต่างกันนั้น หลายคนยังคงหงุดหงิดกับระดับภาษาของตนเอง ยังพูดไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่อง เกิดปัญหาการติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษทั้งที่เรียนมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว อาจจะแก้ปัญหาโดยการเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ สถาบันสอนภาษา สถาบันกวดวิชาหรือจ้างครูพิเศษมาเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากเรียนจบหลักสูตร หยุดการเรียนจากเรียนนั้น ก็จบการเรียนรู้หากผู้เรียนไม่ศึกษาต่อด้วยตนเอง อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี ประหยัด และเรียนรู้ได้ตลอดเวลาคือการฝึกฝนด้วยตนเองจากสื่อและช่องทางต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในยุคสมัยนี้ที่ถือเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่า โลกไร้พรมแดน ไปแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็แล้วแต่มีเพียง 4 ทักษะหลัก ๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ก่อนทำการศึกษาเราควรรู้ระดับภาษาของตนเองก่อนว่ามีภาษาดีไม่ดีมากน้อยแค่ไหน แล้วตั้งเป้าหมายของการเรียนรู้ว่าเราจะพัฒนาทักษะด้านไหนก่อน ต่อไปก็เพียงแค่เริ่มลงมือเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ตามลำดับ ซึ่งตัวฉันก็ได้ใช้วิธีในการเรียนภาษาฝึกทักษะต่าง ๆ ไปที่ละทักษะโดยเริ่มจากทักษะการฟังและการอ่าน เพราะการฟังและอ่านเป็นทักษะการรับรู้เป็นการเรียนรู้ที่ง่ายกว่าทักษะอื่น ๆ และเป็นการปูพื้นฐานความรู้ไปสู่ทักษะอื่นที่ยากกว่านี้อีกด้วย    
          การฟังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ในสัปดาห์นี้ ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟังจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า What Do You Mean? ของศิลปิน  Justin Bieber  ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ฟังง่าย เพราะเนื้อเพลงนั้นเป็นคำศัพท์ที่ไม่ยาก ทำให้ง่ายต่อการฟังและทำความเข้าใจ ในวันแรก ดิฉันเริ่มจากการเปิดเพลงและนั่งทำการบ้านไปด้วย เพื่อฟังหลาย ๆ ครั้งให้เกิดความคุ้นเคย จะสามารถทำให้เราจำเนื้อเพลงได้ดี หลังจากนั้นมานั่งดูมิวสิกวิดีโอ เปิดดูเนื้อเพลงและฝึกร้องตาม ในวันถัดมา ฉันได้เปิดเพลงนี้ฟังแล้วหัดร้องตามอีกครั้ง โดยดูเนื้อเพลง และฝึกแปลคำศัพท์ตามเนื้อเพลงโดยความเข้าใจของตนเองแล้วหลังจากนั้นก็ดูว่าตนเองแปลถูกมากน้อยเพียงใด ดิฉันได้ฝึกฟัง เรื่อง Halloween จาก http://www.listenaminute.com/h/halloween.html. ซึ่งเหตุผลที่ฟังเรื่องนี้เพราะกำลังเรียนเรื่อง Halloween Day และกำลังเตรียมจัด Halloween  Party .ในรายวิชาของ อาจารย์ Charles M. Fisher ซึ่งในเรื่องที่ฟังค่อนข้างเข้าใจง่าย แต่พูดค่อนข้างเร็วทำให้ฟังสำเนียงไม่ค่อยชัด เเต่ฉันฟังอยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง ทำให้เริ่มจับใจความได้ ในเว็บไวต์นี้จะมี passage มาให้อ่านด้วย หากฟังไม่ชัดก็สามารถมาอ่านตามจาก passage นั้นได้ นอกจากนี้จะมีการ blank ที่ว่างคำต่างๆเอาไว้ให้เรานำคำที่เราได้จากการฟังมาเติมลงไปให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการทดสอบการฟังของเราว่ามีความเข้าใจและฟังได้ถูกต้องเพียงใดอีกด้วย อีกทั้งยังแบบฝึกทักษะด้ายต่าง ๆ อีกมากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเขียน การเติมคำ ตั้งคำถาม การเรียงคำศัพท์ และอื่น ๆ อีกมาก      
          หลักจากที่ฉันได้ฝึกทักษะการฟังไปแล้วจึงลองมาฝึกทักษะการอ่าน ซึ่งอ่านได้มากหรืออ่านได้น้อยนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของตัวบุคคลจริง ๆ ทุกครั้งที่อ่านจะได้ความรู้อะไรใหม่ ๆ เสมอ สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษไหน ๆ ฉันก็จะเริ่มอ่านเเล้ว ก็เลือกอ่านสิ่งที่ได้ประโยชน์ด้วย สำหรับตัวฉันเองเป็นคนที่ยังรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษน้อยจึงเลือกอ่านบทความที่มีเนื้อหาสั้น ๆ คำศัพท์ง่าย ๆ ซึ่งดิฉันได้เลือกอ่านเรื่อง Bomb in Bangkok จากเว็บไซต์ http://www.bangkokpost.com/hot-topics/658696/bomb-in-bangkok ซึ่งเรื่องที่เลือกอ่านนี้เป็นเรื่องการวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ซึ่งเป็นข่าวที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ทำให้ฉันเข้าใจข่าวภาษาอังกฤษง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวีดีโอคลิปบันทึกภาพเหตุการณ์ให้ชมด้วย จากการอ่านทำให้ได้รู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นและยังทำให้รู้สถานการณ์บ้านเมืองอีกด้วย เรื่องที่สองที่ฉันได้อ่านคือเรื่อง Bangkok school closes due to influenza จากเว็บไซต์ http://thai.langhub.com/th-en/learn-english-with-news/382-bangkok-school-closes-due-to-influenza เป็นข่าวโรงเรียนในกรุงเทพปิดเนื่องจากไข้หวัดใหญ่ มีคำศัพท์ยากบ้างบางคำ แต่ก็สามารถเดาคำศัพท์ได้ ในข่าวนี้จะมี Passage เป็นภาษาอังกฤษมาให้อ่า่น แล้วด้านล่างจะมีแปลภาษาไทยและคำศัพท์ยากไว้ให้แล้วด้วย  เรื่องที่สามที่อ่านคือเรื่อง Cambodia celebrates colourful 'ghost festival' จากเว็บไซต์ http://www.bangkokpost.com/news/asia/711536/cambodia-celebrates-colourful-ghost-festival เป็นข่าวการฉลองเทศกาลเกี่ยวกับผีในเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สามารถอ่านและแปลความหมายได้ง่ายเพราะคำศัพท์ในข่าวเป็นศัพท์พื้นฐานส่วนมาก      
         จากการฝึกทักษะการฟังและทักษะอ่านในครั้งนี้ และจากการสำรวจตัวเองนั้นพบว่าหลักจากการเรียนรู้ ดิฉันสามารถพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถฟังสิ่งต่างๆ ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง ฟังบทความต่าง ๆ ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในทักษะการอ่าน ทำให้อ่านบทความ อ่านข่าวสารต่าง ๆ ได้เข้าใจ สามารถแปลข่าวสารและจับใจความสำคัญของข่าวสารนั้นได้ เกิดความเพลิดเพลินกับการดูหนัง ฟังเพลง และการอ่านต่าง ๆ ไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและเกิดความสุขในการเรียนรู้ด้วยตนเองและรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกด้วย อีกทั้งการฝึกทักษะการฟังและการอ่านนี้นอกจากพัฒนาทักษะทั้งสองนี้แล้ว ยังเป็นทักษะพื้นฐานในการต่อยอดความรู้ ฝึกทักษะอื่นอีกด้วย ซึ่งการฝึกทักษะทั้ง 4 เหล่านี้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ใช้อินเตอร์เน็ตในการศึกษาค้นคว้า ซึ่งอิตเตอร์เน็ตนี้ถือเป็นแหล่งเรียนเรียนรู้ที่ดีมากอย่างหนึ่ง มีเนื้อหามาก ครอบครุมทุกเรื่องราว สามารถค้นหาทุกเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และมีข้อมูลให้เลือกเยอะอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนมีตัวเลือกและช่องทางในการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ ได้ในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงการศึกษาภาษาอังกฤษและฝึกทักษะต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าการเรียนและฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดหากมีความสนใจและตั้งใจจริง ดังนั้นเราจึงควรศึกษาและฝึกฝนการใช้ภาษากฤษให้เข้าใจเพื่อที่จะสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ในการติดต่อสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 15 กันยายน

      สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน         



          ภาษาอังกฤษ คือ ภาษากลางของโลก เป็นภาษาที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้และศึกษาเพื่อที่จะสามารถนำความรู้ไปใช้ในการติดต่อสื่อสารในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจการค้า การทำงาน หรือด้านการเรียนก็ตาม เป็นภาษาที่กำลังมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์มากยิ่งขึ้นและจะยิ่งทวีความสำคัญมากชึ้นอีกเมื่อถึงเวลาที่ประชาคมอาเซียนเข้ามา ฉะนั้นในฐานะที่เป็นนักศึกษา แน่นอนอยู่แล้วว่าในการเรียนนั้นต้องมีรายวิชาภาษาอังกฤษ แต่ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่านเลยสำหรับคนไทยที่จะเรียนรู้ภาษาต่างชาติให้เข้าใจและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่การเรียนภาษาอังกฤษในทุกสถานศึกษาจะเน้นการเรียนการสอนอยู่ 2 ส่วน คือส่วนไวยากรณ์กับการติดต่อสื่อสาร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ ไวยากรณ์เป็นหัวใจหลักในการเรียนภาษา มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าใจเรื่องไวยากรณ์แล้วก็สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ นักเรียนนักศึกษาทุกคนจึงควรเรียนไวยากรณ์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อนำความรู้มาใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ไวยากรณ์อังกฤษนั้นมีมากมายหลายหัวข้อหลายเรื่อง ทุกเรื่องล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น แต่ในที่นี้ขอยกไวยากรณ์เรื่อง การลดรูปของ Adjective clause ทำให้เป็น Adjective phrase ที่ได้เรียนมาและยังไม่เข้าใจมาศึกษาต่อเพิ่มเติมนอกห้องเรียนและทำความเข้าใจใหม่ให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
จากการเรียนเรื่อง การลดรูปของ Adjective clause ทำให้เป็น Adjective phrase และจากการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมทำให้เกิดความเข้าใจว่าการลดรูปหรือย่อรูปของ Adjective clause ให้เป็นวลี (phrase) นั้น สามารถลดรูปเป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้โดยมีคำนำหน้า who,which และ that  ทำหน้าที่เป็นประธานของ Adjective clause เมื่อลดรูปแล้วจะกลายเป็นกลุ่มคำนาม ได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ 
1. กลุ่ม Appositive Noun Phrase ประโยค Adjective Clause มี who,which และ that เป็นประธาน สามารถลดรูปได้หากหลัง who,which และ that  มี BE ให้ตัด BE ออก เมื่อลดรูปแล้วจะเป็นกลุ่มคำนามที่เรียกว่า appositive 
เช่น  His novel,which is entitled Behind the picture,is very popular.  เมื่อลดรูปแล้วจะได้เป็น
        His novel, Behind the picture,is very popular.
2. กลุ่ม Preposition Phrase สามารถลดรูปได้หากหลัง who,which และ that เป็นประธาน โดยหากหลัง who,which และ that  มีคำกริยาและบุพบทที่ถ้าตัดคำกริยาแล้วเหลือแต่บุพบทยังมีความหมายเหมือนเดิมให้ตัดคำกริยาออก
เช่น  The lady who is dressed in the national costume is a beauty queen.   เมื่อลดรูปได้เป็น    
        The lady in the national costume is a beauty queen. 
3. กลุ่ม Infinitive Phrase ประโยค Adjective Clause ที่มี who,which และ that สามารถลดรูปได้หากหลังกริยาในรูป BE + Infinitive with to 
เช่น  He is the first person who is to be blamed for the violence yesterday.  เมื่อลดรูปจะได้เป็น     
        He is the first person to be blamed for the violence yesterday. 
4. กลุ่ม Participial Phrase จะแบ่งออกเป็น 2 แบบย่อยอีก คือ Present Participial Phrase หากมี who เป็นประธาน สามารถลดรูปได้โดยหากหลัง who มีกริยาแท้ ให้ตัด who ออก แล้วเปลี่ยนกริยาหลัง who เป็น Present Participial (V-ing) 
เช่น  The school students who visited the national museum were very excited. ลดรูปได้เป็น    
        The school students visiting the national museum were very excited. 
และในส่วนของ Past Participial Phrase หากมี which และ  who เป็นประธาน หากหลัง which และ  who มีกริยาในรูป passive form (BE+ Past Participial) ลดรูปโดยการตัด who,which และ be ออก เหลือแต่ Past Participial เอาไว้ 
เช่น  The money which was lost during the trip was returned to its owner.  ลดรูปได้เป็น       
        The money  lost during the trip was returned to its owner. เป็นต้น 
          จากการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในครั้งนี้ทำให้เข้าใจเนื้อหาเรื่องการลดรูปของ Adjective Clause มากยิ่งขึ้น และสามารถสรุปจากสิ่งที่ค้นคว้าได้อย่างสั้น ๆ เพื่อนำไปเป็นสูตรการท่องจำ ได้ว่า การลดรูปหรือย่อรูป Adjective Clause ให้เป็น Phrase นั้น หากประโยค Adjective Clause  มีประธานเป็น who,which หรือ that สามารถลดรูปได้ 2 วิธี คือ1. เอาประธาน who,which หรือ that และกริยา verb to be ออกไป2. เอาประธาน who,which หรือ that แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้เป็น V-ing ซึ่งเป็นการจำวิธีการลดรูปแบบต่าง ๆ จำโครงสร้างวิธีการลดรูปและฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาทักษะและทบทวนความรู้ด้วย ซึ่งตัวฉันก็เริ่มเข้าใจในการลดรูปของ Adjective Clause แล้ว   จากการสังเกตและประเมินตนเองหลังจากใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนมาศึกษาเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่เข้าใจในชั้นเรียนทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ถือเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองที่คุ้มค่ากับเวลาว่าง และสามารถนำความรู้ส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไปอีกด้วย ฉะนั้นผู้ที่สนใจภาษาอังกฤษ นักเรียน นักศึกษาที่มีเวลาว่าางมาก ๆ ควรนำเวลาว่างนั้นมาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพื่อต่อไปในอนาคตสามารถนำความรู้ไปใช้ติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม


สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน           


          ปัจจุบันนี้การศึกษาไทยมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากสื่อที่หลากหลาย แหล่งเรียนรู้ก็มีให้เลือกมากขึ้น ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก ลองมองย้อนกลับไปในยุคที่พ่อแม่เรายังเป็นนักเรียน ผู้เรียนจะต้องเรียนที่วัด โรงเรียนในชนบท เรียนแค่ในห้องเรียน หรือบางคนอาจจะไม่ได้เรียนเลย เพราะฐานะทางบ้านบ้าง โรงเรียนอยู้ไกลบ้าง ต้องทำงานบ้าง ทุกคนในสมัยนั้นต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เดินไปกลับจากบ้านถึงโรงเรียน หลังเลิกเรียนก็กลับมาช่วยพ่อแม่ทำงานต่ออีก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียนสมัยนี้ถือว่ามีการพัฒนาออกมาไกลมาก การเรียนในขณะนี้มีความเจริญมากขึ้น มีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า มีรถไว้ขับขี่ไปเรียน มีเงินใช้ เรียนก็คือเรียนไม่ต้องทำงานอะไรเลย ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น มีความพร้อมทุกอย่างมอบให้จนตัวผู้เรียนไม่ต้องแสวงหาเองแล้วก็ได้ เพราะพ่อแม่ได้มองเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว ซึ่งการศึกษาในสมัยนี้มีสถานศึกษา แหล่งเรียนรู้ และสื่อใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ทไให้มีตัวเลือกเเละช่องทางในการเรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนพิเศษ โรงเรียนกวดวิชา ห้องสมุดออนไลน์ รวมทั้งแหล่งเรียนรู้ทางเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ เว็บไซต์ต่าง ๆในการศึกษาค้นคว้า มีการเรียนและทำแบบทดสอบต่าง ๆ มากมาย ซึ่งกาเรียนออนไลน์นี้เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนและศึกษาค้นคว้าข้อมูล ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่หลงไหลเพลิดเพลินไปกับโซเซียลเน็ตเวิร์กจึงจะเรียนรู้สำเร็จ ในส่วนของตัวฉันก็ได้ใช้วิธีการเรียนรู้แบบออนไลน์ในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากการเรียนในห้องเรียนเพื่อฝึกและพัฒนาทักษาะทางภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของเนื้อหาที่เรียนรู็ด้วยตนเองนอกห้องเรียนนั้นได้แก่เรื่อง การสร้างคำ (Word Formation) เนื้อหาในส่วนนี้ตัวฉันนำไปใช้ในการเรียนวิชาภาษาศาสตร์สำหรับครูภาษาอังกฤษ ซึ่งตัวฉันยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อนำความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง        
          คำที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้ ต่างก็มีการสร้างคำ (Word Formation) ขึ้นมาใช้ทั้งสิ้น เป็นการเติมคำจากรากศัพท์เดิมให้กลายเป็นคำศัพท์ใหม่ ซึ่งมีหลักการสร้างคำใหญ่ ๆ 4 หลัก ดังนี้
1. Affixation เป็นการเติม  Prefix หรือ Suffix เข้าที่ตัวคำศัพท์เดิม หรือ รากศัพท์ (Root) เป็นการสร้างที่สามารถช่วยในการเดาคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น โดย Prefix คือ คำอุปสรรคที่เติมหน้ารากศัพท์เดิมแล้วทำให้ความหมายของคำเปลื่อนไป แต่หน้าที่ของคำยังคงเหมือนเดิม ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ทำให้ความหมายเป็นไปในทางตรงกันข้าม : un , de , dis ทำให้มีความหมายเกี่ยวกับขนาดและดีกรี : super , sub , over , under , hyper , mini คำที่ให้ความหมายเกี่ยวกับเวลาและลำดับ : pre , post , ex , คำที่มีความหมายเกี่ยวกับจำนวน : uni, mono ,  bi , tri , poly คำที่มีความหมายในทางลบ : un , non , in , dis เป็นต้น ส่วนคำ Suffix คือปัจจัยที่เติมหลังคำรากศัพท์เดิม ทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนไปทั้งสองอย่าง ซึ่งมีคำพวกนี้อยู่จำนวนมาก ที่คุ้นชินก็เช่นคำ -er , -ent , -ess , -ster , -able , -ise , -ize , -fy , -en , -ive , -ful , -al เเละคำอื่น ๆ อีกมากมาย
2. Compounding คือการนำคำสองคำมารวมกัน แล้วเกิดคำใหม่ขึ้นมา เช่นคำว่า note + book =  notebook , blue + berry = blueberry , out + run = outrun เป็นต้น ซึ่งคำที่จำนำมารวมกันนั้น ต้องมีความหมายทั้งสองคำ
3. Clipping คือการสร้างคำใหม่โดยการตัดคำเดิมให้สั้นลง เช่นคำว่า gasoline เป็น gas , influenza เป็น flu เป็นต้น 4. Blending คือการสร้างคำโดยการนำคำคั้งแต่สองคำขึ้นไปมาผสมรวมกัน เป็นคำใหม่ เช่น smoke + frog = smog , moter + hotel = motel , breakfast + lunch = brunch เป็นต้น        
          จากการศึกษาค้นคว้าเรื่อง (Word Formation) นั้นทำให้รู้เกี่ยวกับรากศัพท์ คือ คำศัพท์เดิมและการเติม Prefix หรือ Suffix การรวมคำ การตัดคำ และการผสมคำ ซึ่งวิธีการสร้างคำเหล่านี้ทำให้ได้รู้ที่มาของคำศัพท์ว่ามาจากเดิมว่าอะไร เมื่อสร้างคำใหม่จะได้คำว่าอะไรบ้าง ซึ่งการสร้างคำนี้ถือเป็นเทคนิคในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อีกด้วย ทำให้ง่ายต่อการเดาคำศัพท์ในการอ่านหรือแปลโดยที่ไม่ต้องเปิดหาคำศัพท์ ซึ่งฉันสามารถนำวีธีการสร้างคำนั้มาประยุกต์ใช้ในการเรียนได้ด้วย นอกจากใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้วยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย ทำให้เกิดการเรียนรู้และเป็นการฝึกให้เป็นคนชอบไขว่คว้าหาความรู้ ฝึกสมาธิให้เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตโดยไม่หลงไหลเพลิดเพลินไปกับโลกออนไลน์ ฉะนั้น หากนักเรียนนักศึกษา หรือผู้ที่สนใจทางภาษาอังกฤษต้องการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมก็สามารถค้นคว้าได้จากสื่อที่หลากหลาย แหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตามยุคสมัย ควรหมั่นฝึกฝนและหาความรู้เพิ่มเติมอยู่สม่ำเสมอ เพื่อสะสมความรู้ไว้ใช้ในอนาคตต่อไป นอกจากนี้การเรียนรู้เพิ่มรู้เพิ่มเติมในครั้งนี้ทำมห้เกิดความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ใหม่ ๆ มากมาย ที่ยังไม่ได้เรียนหรือรู้มาก่อน ถือเป็นเทคนิคการเดาคำศัพท์อย่างง่ายอีกดด้วย หากทุกคนที่มีเวลาว่าง เล่นอินเตอร์เน็ตเรื่อย ๆไม่รู้จะทำอะไร ลองหันมาใช้เวลาส่วนนั้นมาเช้าเว็บไซต์หาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองกันดีกว่า ซึ่งการเรียนรู้นี้ก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และเรียนรู้เองที่บ้านก็ได้ ไม่มีการลงทุนใดใดในการเรียนรู้นี้ ลองใช้เวลาว่างเหล่านั้นมาทำให้ตนเองเป้นคนเก่งดีกว่าเพื่อใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่วต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 8 กันยายน

สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน

          ในสังคมโลกปัจจุบันมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างรวดเร็วผ่านระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆได้ง่ายและกว้างขึ้น และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ในชีวิตประจำวัน เด็กๆจะต้องฉลาดในการทำสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นและเจริญงอกงามขึ้น ความประพฤติและการสื่อ สารทั้งทางกายและทางวาจา ไม่ว่าภาษาใด จึงมีความสำคัญมาก เด็กทุกคนควรระลึกถึงความสำคัญของการสื่อสารทางวาจาอยู่เป็นนิจ เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องกระทำกันอยู่ทุกวัน และสามารถเผลอไผลได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องการพูด ให้เรารู้เท่าทันเจตนาในการพูด และถือว่าการพูดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ อันจะนำมาซึ่งความสุขและความสงบทั้งตนเองและคนรอบข้าง เพราะชีวิตคือ การศึกษาการเรียนรู้ที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างถูกต้องดีงาม เป็นชีวิตที่มีการฝึกฝน พัฒนาตนเองในทุกด้าน ทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา โดยการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ถ้าต้องการมีชีวิตที่ดีงาม เด็กทุกคนจะต้องศึกษา โดยเฉพาะการใช้ภาษาในการสื่อสาร ใช้ภาษาศึกษา ทำความเข้าใจในเรื่องชีวิตของเรา และปฏิบัติดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงาม
          ภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นมีมากหลายภาษา เเต่ตอนนี้ภาษาที่กำลังเป็นที่นิยม เป็นภาษากลางของดลก ก็คือ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีความสำคัญมากในตอนนี้ ฉะนั้นเราจึงควรจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เกิดความเข้าใจและชำนาญมากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ ดังนั้น ฉันจึงเลือกที่ใช้เวลาว่างมาศึกษาเรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือ 1.Greeting (การทักทาย) เป็นการทักทายกับคนที่คุ้นเคย คนทั่วไป คนที่รูจักกันมากอน และกับคนที่ยังไม่รู้จักกัน 2.Introducing Oneself (การแนะนำตนเอง) เป็นการแนะนำตนเองกับใคร ที่ไหน เป็นขั้นพื้นฐาน 3.Leave taking (การกล่าวลา)เป็นกลารกล่าวลาเพราะอะไร กล่าวลาใคร ควรพูดอย่างไร 4.Giving and Asking personal information (การให้และขอข้อมูลส่วนตัว)เป็นการให้และขอข้อมูลจากใคร ในแต่ละคนจะคุยกันแบบไหน 5.Thanking (การขอบคุณ) เป็นการขอบคุณเนื่องจากโอกาสใคร ขอบคุณใคร 6.Apologizing (การขอโทษ) เป็นการขอโทษเพราะอะไร ขอโทษใคร 7.Situations (สถานการณ์ต่างๆ)-Time (เวลา) -Direction (ทิศทาง) -Shopping (การซื้อขายสินค้า) -Food and Drinks (อาหารและเครื่องดื่ม) เป็นบทสนทนาขั้นพื้นฐานหากเราอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ จะพูดอะไรบ้าง 8.Routine (กิจวัตรประจำวัน)เป็นการพูดถึงสิ่งที่เราปฏิบัติอยู่ในทุก ๆ วัน ว่าเป็นอย่างไร  9.School (โรงเรียน) เป็นการสนทนาภานในโรงเรียน คุยกับใคร เพื่อน ครู หรือใครคนใดคนหนึ่งในนั้น จะพูดอย่างไร และ 10. Nakhon Si Thammarat (จังหวัดนครศรีธรรมราช) -Food (อาหาร) -Popular Attractions (สถานที่น่าสนใจ) - Festivals and Events (เทศกาลและวันสำคัญ) ศึกษาเกี่ยวกับการสนทนาเรื่องอาหาร สถานที่ที่น่าสนใจ และเทศกาลวันสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งในการศึกษาบททนาในรูปแบบต่าง ๆ นี้ เราสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ เป็นหลักการสนทนาขั้นพื้นฐานเท่านั้น สามารถนำความรู้ในส่วนนี้ไปใช้สนทนาในระดับสูงกว่านี้ได้อีกด้วย
          นอกจากการศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเหล่านี้แล้ว ในขณะที่กำลังเรียนรู้เรื่องนี้อยู่นั้น ฉันเปิดเพลงสากลเบา ๆ ฟังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายและง่วงนอน และทำให้เกิดการพัฒนาทักษะการฟังอีกด้วย ในการฟังเพลงของฉันได้เปิดเพลงรวมของศิลปินวง Maroon 5 ซึ่งเพลงเพราะ ๆ ของวงนี้ ได้แก่ เพลง Maps , Sugar , Animals , My heart is open , Payphone , Daylight , Harder to breathe , It was always you , Just a feeling , Feelings , Love somebody , Lucky strike , One more night , She will be loved , Shut up and dance (WALK THE MOON) , Sunday morning , The way you look tonight , This love , Wont go home without you เพลงเหล่านี้เป็นเพลงฮิตของศิลปินวงนี้ เป็นวงดนตรีแนวป็อปร็อคชื่อดังจากสหรัฐฯ นำโดย อดัม เลอวีน โค้ชสุดเซ็กซีจากเวที The Voice อเมริกา เพลงของ Maroon 5 มีแนวเป็นดนตรีที่เน้นกีต้าร์ มักจะเล่นควบคู่ไปกับเปียโนและเครื่องสังเคราะห์ดนตรี (synthesizer) ดนตรีของ Maroon 5 เปลี่ยนแปลงไปทุกอัลบั้ม เนื้อหาในเพลงทุกเพลงของพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับความรัก ซึ่งมักจะเป็นการสูญเสียความรัก รวมไปถึงเพลงเกี่ยวกับความหลงใหล และบางบทเพลงจะมีน้ำเสียงแบบถากถาง แสดงถึงความขุ่นเคืองในความสัมพันธ์ ทำให้ฉันศึกษาเรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้โดยไม่มีความรู้สึกน่าเบื่อหรือง่วงนอนแต่อย่างใด อีกทั้งจากการฟังเพลงและการอ่านเนื้อหานั้น ฝึกทักษะการฟังและการอ่านของฉันในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย ตามคำที่ว่า ตาดู หูฟัง แยกประสาทสัมผัสการรับรู้ ซึ่งตัวฉันก็สามารถแยกมันได้ สามารถเข้าในเนื้อหาที่อ่าน ฝึกพูดบทสนทนานั้นได้ ฟังเพลงก็ไม่มีผลต่อการอ่าน นอกจากการเรียนรู้ในครั้งนี้ จะฝึกทักษะการอ่าน การฝึกพูดและทักษะการฟังเเล้ว ยังฝึกสมาธิของผู้เรียนรู้ได้อีกด้วย เป็นการทดสอบสมาธิของตนเองว่ามีความแน่วแน่มากแค่ไหน การใช้เวลาว่างเพียงน้อยนิดมาศึกษานอกห้องเรียนแบบนี้มีประโยชน์แก่ตัวฉันและทุกคนที่สนใจเป็นอย่างมาก ฉะนั้นในยุคสมัยที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และตอนนี้ในเมื่อภาษาอังกฤษเข้ามามีอิทธิพลต่อการใชีชีวิตของเรา เราก็จำเป็นที่ต้องเรียนรู้มัน เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมสมัยนี้ได้อย่างไม่ตกเทรน 

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 1 กันยายน

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน


          การรู้ภาษาอังกฤษเพียงหนึ่งภาษา คุณสามารถติดต่อสื่อสารผู้คนบนโลกนี้ได้กว่าพันล้านคนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และด้านอื่นๆของสังคมโลก ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาหลักที่คนต่างชาติต่างภาษานิยมใช้เพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศกันมากที่สุด จนหลายคนนิยามภาษาอังกฤษว่าเป็นภาษานานาชาติ (International Language) หรือ ภาษาสากล (Global Language) คนที่รู้ภาษาอังกฤษจึงหางานได้ง่ายกว่า มีโอกาสได้งานเงินเดือนที่ดีกว่า มีโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและประสบความเร็จในชีวิตมากกว่า ดังนั้นเราต้องหมั่นเรียนรู้และฝึกฝนบ่อย ๆ เพื่อสามารถใช้ภาษาและติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในการเรียนภาษานั้น ต้องใช้หลักการจำเป็นส่วนใหญ่ ทั้งคำศัพท์ ไวยากรณ์ หรือประโยคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือ เขียน ส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ ประโยคคำนั้น ๆ ที่จะทำให้การสนทนามีความสมบูรณ์ แต่ในบางครั้ง ประโยคก็มีความซับซ้อน คือมีภาคประธานและภาคแสดง แล้วยังมีส่วนขยายเพิ่มเข้ามาอีก ฉะนั้นการทำความเข้าใจในเรื่องของประโยคนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษ
          Sentence คือ เป็นกลุ่มคำที่มาประกอบกันให้มีเนื้อความสมบูรณ์ บอกการกระทำ ความเป็นอยู่ หรือความเป็นไป ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่พูดหรือเปล่งออกมาแล้ว ได้ใจความ เป็นการนำเอาคำต่างๆ ในส่วนของ Parts of Speech มาร้อยเรียงให้เป็นถ้อยคำหรือข้อความที่ได้ใจความสมบูรณ์ โดยที่ประโยคจะประกอบด้วยส่วนใหญ่ 2 ส่วน คือsubject (ภาคประธาน) และ predicate (ภาคแสดง) ซึ่งภาคประธาน (Subject) มีได้หลายรูปแบบ เช่นเป็นคำนาม, คำสรรพนาม, อนุประโยค, gerund, gerund phrase, infinitive, infinitive phrase ภาคแสดง (Predicate) จะต้องประกอบด้วยคำกริยา และมีกรรมที่รวมเรียกว่า Verb Completion หรือ ส่วนขยายที่เรียกว่า Verb Modifiers. ตัวอย่างเช่น He lives in Bangkok. (เขาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ) คำว่า He คือ Subject ส่วน lives in Bangkok. เป็น predicate, None of the students knew the answer. (ไม่มีนักเรียนคนใดรู้คำตอบ) คำว่า None of the students คือ Subject ส่วน knew the answer. เป็น predicate เป็นต้น ซึ่ง Sentence แบ่งตามโครงสร้างมีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ Simple Sentence (ประโยคความเดียว) Compound Sentence (ประโยคความรวม) Complex Sentence (ประโยคความซ้อน) Compound Complex Sentence (ประโยคความรวม + ประโยคความซ้อน)
          Simple Sentence (ประโยคความเดียว) คือ ประโยคที่มีประโยคอิสระ (Independent Clause) มีกริยาแท้ หรือ กริยาหลักอยู่เพียงตัวเดียว ส่วนกริยาช่วยหรือส่วนขยายอื่นๆนั้นอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคใหญ่หรือประโยคหลักเพียงประโยคเดียวเท่านั้นเช่น He is a manager. He is working now. , Prasert has never been to Japan. , Dave will be arriving in Bangkok November 2nd. , The beautiful girl with black eyes from speaks English very well. จะเห็นว่าประโยคต่างๆที่ยกมาเป็นตัวอย่างนั้น มีกริยาแท้อยู่ในแต่ละประโยคเพียงตัวเดียวซึ่งได้แก่ is, working, been, arriving, speaks และ working ส่วนกริยาช่วยหรือส่วนขยายอื่นๆนั้นอาจจะมีหรือไม่ก็ได้ ไม่ได้บังคับ
          Compound Sentence (ประโยคความรวม) คือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอิสระ (Independent Clause) ตั้งแต่สองประโยคขึ้นไป และมีคำสันธานหรือคำเชื่อมมาเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน (Co-coordinating Conjunction) ได้แก่ and, but, nor, or, for, so, และ yet เช่น University students can live in the dormitories or in the private apartment. , Woman lives longer than men, for they take better care of their health. จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Compound Sentence เกิดมาจาก Simple Sentence 2 ประโยคมารวมกัน แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
        Complex Sentence (ประโยคความซ้อน) คือประโยคที่มีประโยคใหญ่หรือประโยคหลัก (Main Clause) เพียงประโยคเดียว เป็นประโยคย่อยอิสระ (independent clause) ซึ่งอยู่ตามลำพังได้และประโยคเล็ก (Subordinate Clause) ตั้งแต่ 1 ประโยคขึ้นไป เป็นประโยคย่อยไม่อิสระ (dependent clause) ซึ่งต้องพึ่งพา main clause โดยเชื่อมด้วย คำสันธาน เราสามารถแบ่งประเภทของ Complex Sentence ได้ 3 ชนิดคือ Noun Clause แบ่งออกเป็น Noun Clause ที่เชื่อมด้วย question words , Noun Clause ที่เชื่อมด้วย whether , if และ Noun Clause ที่เชื่อมด้วย that Adjective Clause จะมีคำว่า that, which, where, when, why, who, whom, whose, how, in which, of which, of whom เช่น  My boss told me that I would be punished. จากประโยค complex sentence ข้างต้น มีประโยค main clause 1 ประโยค และประโยค subordinate clause 1 ประโยค ดังนี้ My boss told me เป็น main clause that I would be punished เป็น subordinate clause ที่เป็นnoun clause ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา told

          Compound Complex Sentence (ประโยคความรวม + ประโยคความซ้อน) คือประโยคที่ประกอบกับขึ้นระหว่าง Compound Sentence กับประโยค Complex Sentence ธรรมดาๆ ดังนั้น Compound Complex Sentence จึงประกอบด้วยประโยคหลัก (Main Clause) ตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปและประโยครองหรืออนุประโยค (Subordinate Clause) อย่างน้อย 1 ประโยค ตัวอย่าง เช่น Before Jack could go to the party, he had to finish his annual report, but he found it hard to concentrate. , While Somsak played the guitar, the boys sang and the girl danced. จากประโยคตัวอย่างจะเห็นได้ว่าจะมีประโยคมารวมกันในประโยคเดียวโดยการใช้ตัวเชื่อม จากประเภทของประโยคทั้ง 4 แบบ ทำให้มองเห็นภาพของรูปแบบประโยคชัดเจนมากขึ้น และสามารถแยกได้ว่าส่วนใดเป็นภาคประธาน ส่วนใดเป็นภาคแสดง นอกจากรูปแบบประโยคที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมี Clause ที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเป็นแนวทางในการเรียนภาษาอีกด้วย แต่ Clause นี้มีหลายประเภท แต่สิ่งที่เลือกเรียนคือ Adjective clause
          Adjective Clause คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนคุณศัพท์ขยายนามหรือแสดงลักษณะของคำนามหรือคำสรรพนาม ปกติแล้วAdjective Clause จะเชื่อมด้วยประพันธสรรพนาม โดยที่ประพันธสรรพนาม นั้นจะเชื่อมคุณานุประโยคดังกล่าวกับคำนามหรือสรรพนามที่มันขยาย ประพันธสรรพนาม (Relative Pronouns) เหล่านั้นได้แก่ that, which, where, when, why, who, whom, whose, how, in which, of which, of whom เป็นต้น ในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ผู้ส่งสารได้แก่ผู้พูดหรือผู้เขียนอาจต้องการสื่อสารข้อความที่มีรายละเอียดการอธิบาย หรือขยายคำนามในประโยคโดยไม่อาจใช้เพียงคำหรือกลุ่มคำคุณศัพท์ได้ ในกรณีดังกล่าวส่วนที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามในประโยคอาจอยู่ในรูปของประโยคอีกประโยคหนึ่งคือมีภาคประธานและภาคแสดง จึงมีลักษณะเหมือนประโยคย่อยๆ ที่ซ้อนอยู่ในประโยคหลัก โดยใช้คำนำหน้าประโยคย่อยนี้เพื่อเชื่อมต่อกับประโยคหลัก ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนคำคุณศัพท์ขยายคำนามในประโยคหลักดังกล่าวเรียกว่าadjective clause ซึ่ง adjective clause นี้มีเรื่องที่นักศึกษาควรรู้ เพื่อให้สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพได้แก่ 1) หน้าที่ 2) การใช้คำนำหน้า 3) ประเภท 4) การละคำนำหน้า และ 5) การลดรูป

          หลักการใช้คำประพันธสรรพนาม (Relative Pronouns) เป็นสรรพนามที่ใช้เชื่อมใจความสำคัญเข้าด้วยกันโดยใช้เชื่อม Adjective Clause ที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายคำนามหรือคำสรรพนาม ที่วางอยู่ข้างหน้าของมัน(1) who ใช้กับคำนามที่เป็นบุคคลหรือเกี่่ยวกับคนซึ่งเป็นประธานของใจความขยายหมายความว่า who ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนาม ที่เป็นบุคคลกับอนุประโยคที่ใช้ขยายหรือแสดงลักษณะของนาม หรือสรรพนามตัวนั้น (2) whom ใชักับคำนามที่เป็นบุคคลหรือเกี่ยวกับคนซึ่งเป็นกรรมของใจความขยาย หมายความว่า whom ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นบุคคลซึ่งเป็นกรรมของอนุประโยคที่มันขยาย (เป็นกรรมของกริยาของอนุประโยคที่มันขยาย) (3) whose ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของบุคคล หมายความว่า whose ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นบุคคลซึ่งวางอยู่ข้างหน้าของมันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแทนคำนามหรือคำสรรพนามที่มันขยาย (4) which ใช้กับคำนามหรือคำสรรพนาม ที่เป็นสิ่งของ สัตว์ ซึ่งหากเป็นกรรมของใจความขยาย ก็สามารถละทิ้งได้ (5) where ใช้กับคำนามประเภท สถานที่ ซึ่งถ้าหากเป็นกรรมของใจความขยายก็สามารถละทิ้ง (6) when ใช้กับคำนามที่บอกเวลา เพื่อขยายที่อยู่ข้างหน้าของมัน (7) why ใช้ขยายคำนามที่มีความหมายถึงสาเหตุ เหตุผล คำอธิบายซึ่งวางอยู่ข้างหน้าของมัน (8) that ใช้กับคำนามที่เป็นบุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสามารถใช้แทน who, whom, where, which ก็ได้
          การลดรูป adjective clause คำนำหน้า “who”, “which” และ “that” ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของ adjective clause สามารถลดรูปเป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้ โดยเมื่อลดรูปแล้วจะกลายเป็นกลุ่มคำนาม ดังนี้ Appositive Noun Phrase Prepositional Phrase Infinitive Phrase Participial Phrase Appositive Noun Phrase adjective clause ซึ่งมี who, which และ that เป็นประธาน สามารถลดรูปได้หากหลัง who, which และ that มี BE และให้ตัด BE ออกด้วย เมื่อลดรูปแล้ว จะเป็นกลุ่มคำนามที่เรียกว่า appositive Prepositional Phrase adjective clause ที่มี who, which และ that เป็นประธาน สามารถลดรูปได้ หากหลัง who, which และ that มีคำกริยาและบุพบท ที่ถ้าตัดคำกริยาแล้วเหลือแต่บุพบท ยังมีความหมายเหมือนเดิมให้ตัดคำกริยาออกได้ adjective clause ที่มี who, which และ that สามารถลดรูปได้ หากข้างหลังมีกริยาในรูป BE + infinitive with to Participial Phrase Present Participial Phrase adjective clause ซึ่งมี who เป็นประธาน สามารถลดรูปได้ หากหลัง who มีกริยาแท้ ลดรูป โดยตัด who และเปลี่ยนกริยาหลัง who เป็น present participle (V-ing) 2) Past Participial Phrase adjective clause ซึ่งมี which และ who เป็นประธาน สามารถลดรูปได้ หากหลัง which และ who มีกริยาในรูป passive form (BE + past participle) ลดรูปโดยตัด which/who และ BE ออกเหลือแต่ past participle
          ในศึกษาเรื่อง Sentence และ Adjective clause ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องประโยคและอนุประโยค ซึ่งประโยค ก็คือข้อความที่มีความหมายสมบูรณ์ ส่วนอนุประโยค คือประโยคที่ไม่มีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง ยังต้องมีประโยคมาเสริมอีก เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของประโยคและเข้าใจง่ายขึ้น อีกทั้งการเรียนครั้งนี้นั้น ทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถนำความรู้ในส่วนนี้มาใช้ในการสื่อสารได้ทั้งการพูด การเขียน และด้านอื่น ๆ อีกด้วยการเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อประเทศเปิดเป็นประเทศอาเซียน เราก็จะไม่ตกยุค สามารถพูดคุยสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ ทุกคนเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว และสามารถใช้ชีวิตในยุคสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน


          ภาษาอังกฤษปัจจุบันคือภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของมนุษยชาติ เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกันทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิตแต่เมื่ออาเซียนกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น “working language” เราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ตามความหมายของถ้อยคำว่าเป็น “ภาษาทำงาน” ของทุกคนในอาเซียน ทุกคนที่ “ทำงานเกี่ยวกับอาเซียน”, “ทำงานในอาเซียน”, ทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน”, “มีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน”, “แสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน”, “มีเพื่อนในอาเซียน” และ “เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน” ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ จะต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และใช้ได้ดีด้วย ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างสัมพันธ์สู่โลกกว้างของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมิตรไมตรีที่ขยายกว้างไร้พรมแดน โลกแห่งการแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม เมื่อประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่กำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้ ภาษาอังกฤษยิ่งทบทวีความสำคัญและความจำเป็นมากขึ้น ดังนั้นความสำคัญของภาษาประจำชาติและภาษาต่างประเทศ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ในสังคมอาเซียนและเวทีโลกต่อไป ฉะนั้นเราจึงควรจะเรียนรู้ภาษาอาเซียนเพื่อต้อนรับประชาสังคมอาเซียนในอีกไม่ช้านี้ ตัวฉันจึงใช้เวลาว่างจากการเรียนมาศึกษาเกี่ยวกับภาษาอาเซียน เพื่อนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย   
          แม้จะอยู่กันคนละพรมแดน พูดกันคนละภาษา ก็ไม่เป็นปัญหา หากรู้จักปรับตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงบนความแตกต่าง ซึ่งจากการศึกษาก็พบความต่างดังนี้ ประเทศไทยและลาว ใช้การไหว้,
กัมพูชา จะคล้ายกับการไหว้ แต่จะโค้งศีรษะลงเพียงเล็กน้อย เอามือไว้ระดับหน้าอก,เวียดนาม จับมือ 2 ข้าง และ เด็กๆ , ชาวเวียดนามจะกอดอกพร้อมกับโค้งตัวลงคำนับผู้ใหญ่, พม่าและอินโดนีเซีย จับมือ, สิงคโปร์ จับมือกันเบาๆ, ฟิลิปปินส์ จับมือหรือโค้งคำนับ, บรูไนและมาเลเซีย ผู้ชายจับมือกับผู้ชาย และผู้หญิงจับมือกับผู้หญิง การกล่าวทักทายก็ต่างกัน ประเทศไทยใช้คำว่า สวัสดี , ประเทศสิงคโปร์ ใช้คำว่า ไฮ, เฮลโล่, ประเทศมาเลเซีย ใช้คำว่า ซาลามัต ปาฆี, ประเทศอินโดนีเซีย ใช้คำว่า ซาลามัต ปากี, ประเทศฟิลิปปินส์ ใช้คำว่า กูมูสตากับคำว่า โพ, ประเทศบรูไน ใช้คำว่า ซาลามัต ปาฆี, ประเทศเวียดนาม ใช้คำว่า ซิน จ่าว, ประเทศลาว ใช้คำว่า สะบายดี, ประเทศเมียนมาร์ ใช้คำว่า มิงกะลาบา, ประเทศกัมพูชา ใช้คำว่า ซัวซะได  ในการถามชื่อ ประเทศไทยใช้คำว่า คุณชื่ออะไร?, ประเทศสิงคโปร์ ใช้คำว่า ว้อทส ยัว เนม, ประเทศมาเลเซีย ใช้คำว่า ซียาปา นามา อันดา, ประเทศอินโดนีเซีย ใช้คำว่า เซียปา นะมา เซาดะรา, ประเทศฟิลิปปินส์ ใช้คำว่า อะนอง พานากาลาน โม, ประเทศบรูไน ใช้คำว่า ซียาปา นามา อันดา, ประเทศเวียดนาม ใช้คำว่า บั่น เตน หล่า สี่, ประเทศลาวใช้คำว่า เจ้าซื่อหยัง, ประเทศเมียนมาร์ใช้คำว่า นาแมแบ่โล่ค่อตะแล, ประเทศกัมพูชา ใช้คำว่า เนียะชะมัวะอะไว ในการตอบว่าชื่ออะไร ประเทศไทยพูดว่า   ฉันชื่อ…, ประเทศสิงคโปร์ ใช้คำว่า มาย เนม อีส, ประเทศมาเลเซีย ใช้คำว่า นามา ซายา, ประเทศอินโดนีเซียใช้คำว่า นามา ซายา, ประเทศฟิลิปปินส์ ใช้คำว่า อัง ปะงาลัน คู ไอ ซี, ประเทศบรูไน ใช้คำว่า นามา ซายา, ประเทศเวียดนาม ใช้คำว่า บ่าน เตน หยี่, ประเทศลาว ใช้คำว่า ข้อยซื่อ, ประเทศเมียนมาร์ ใช้คำว่า จะด่อกับคำว่า จะมะ นาแม, ประเทศกัมพูชา ใช้คำว่า เนียะชะมัวะ, คำว่ายินดีที่ได้รู้จัก ประเทศไทย ใช้คำว่า ยินดีที่ได้รู้จัก, ประเทศสิงคโปร์ ใช้คำว่า ไนซ์ ทู มีท ยู, ประเทศมาเลเซีย ใช้คำว่า เฆีมบีรา ดาปัต เบิรเกอนาลัน, ประเทศอินโดนีเซีย ใช้คำว่า เจมบิรา ดาปัต เบอเตมู อันดา, ประเทศฟิลิปปินส์ ใช้คำว่า อิคินากากาลาค คอง, ประเทศบรูไน ใช้คำว่า เจมบิรา ดาปัด เบอเตมู อันดา, ประเทศเวียดนาม ใช้คำว่าเซิด เฮิน แห่งห์ เดือก กับ โอม, ประเทศลาว ใช้คำว่า ยินดีที่ได้ฮู้จักกัน, ประเทศเมียนมาร์ ใช้คำว่า ทะหม่านต้วยยะต่าวันต่าบ่าแด่, ประเทศกัมพูชา ใช้คำว่า รึกเรียยนาสแดลบานสะเกือล นี่เป็นตัวอย่างการทักทายแบบพื้นฐานในประเทศกลุ่มอาเซียน      
      จากการศึกษาภาษาอาเซียนจะเห็นได้ว่า ในแต่ละประเทศจะมีภาษาที่ต่างกัน ลักษณะการทักทายที่แตกต่างกัน แต่แน่นอนเมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจำเป็นที่จะต้องมี "ภาษาอาเซียน" เพื่อเป็นสื่อกลางในการทำงานของประเทศสมาชิก ซึ่งภาษาดังกล่าวคือ "ภาษาอังกฤษ" นั่นเอง คือถึงเราจะเรียนรู้ภาษาอาเซียนแล้วแต่มันคงยังไม่พอสำหรับสังคมสมัยนี้ เพราะตอนนี้ได้นับถอยหลังเวลาเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว ทุกคนต้องต้องรู้ทั้งภาษาอาเซียนและภาษาอังกฤษด้วย ดังนั้นเราต้องศึกษาภาษาเหล่านี้เพิ่มขึ้นและต้องฝึกฝนการใช้ภาษาให้คล่องแคล่ว เมื่อเข้าสู่อาเซียน หรือ AEC สื่งที่จะต้องรู้ก็คือ ข้อมูลของประเทศในสมาคมอาเซียน อีกทั้งสิ่งที่เราไม่ควรที่จะละเลยก็คือ ภาษาอาเซียน 10 ประเทศ ที่น่าจะรู้บ้างเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวต่างชาติในอาเซียน เราก็ต้องสร้างความอินเตอร์ให้กับตัวเรา ต่อจากนี้หากเราเจอชาวต่างชาติ เราจะสามารถโชว์การทักทายของประเทศนั้นได้อย่างมั่นใจ
จากที่ฉันได้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาอาเซียน ทำให้ฉันได้เรียนรู้การใช้ภาษาของประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ รู้ประโยคการทักทายเบื้องต้นในประเทศต่าง ๆ เมื่อพบชาวต่างชาติ สามารถนำความรู้จากการศึกษาครั้งนี้ไปใช้ในการพูดคุยได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว เมื่อเห็นความสำคัญของภาษาประจำชาติและภาษาต่างประเทศว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ในสังคมอาเซียนแล้ว ฉะนั้นเราจึงควรจะเรียนรู้ภาษาอาเซียนและภาษาอังกฤษ ให้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับประชาสังคมอาเซียนในอีกไม่ช้านี้  ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยจะต้องพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ในประชาคมอาเซียน ณ วันนี้เป็นต้นไปนอกจากนั้นการเรียนรู้ครั้งนี้ยังทำให้ฉันเกิดแง่คิดดี ๆ อีกด้วย คือ ในแต่ละประเทศนั้นจะมีการใช้ชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม การแต่งกาย และภาษาที่แตกต่างกันมาก แต่ในความแตกต่างนั้นก็ไม่ได้แตกแยก ทุกประเทศสามารถปรับตัวเข้าหากัน โดยใช้ภาษาอังกฤษ เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และทุกประเทศสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในความต่างนั้น ทำให้ฉันคิดย้อนกลับมาถึงชีวิตของตัวเอง ในการมาเรียนมหาลัย มาเจอเพื่อนใหม่ ที่มาจากต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างสถานที่ มาอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างนิสัย เราต้องปรับตัวเข้าหากันเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ในรั้วมหาลัย กลุ่มประชาคมอาเซียนและภาษาอาเซียนก็เช่นกัน

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 25 สิงหาคม

                                                     สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน


          ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ อังกฤษ ประชาชนใน 10 ประเทศอาเซียนต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น เพราะทุกคนต้องไปมาหาสู่กัน เดินท่องเที่ยว ติดต่อสื่อสาร เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้น ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร เป็นภาษาที่สองของประเทศอาเซียน ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้เกี่ยวกับการใช้ภาษา โดยทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้โดยทั้งสิ้น เริ่มจากทักษะขึ้นพื้นฐาน ฟัง พูด อ่าน เขียน ตามลำดับ ในส่วนของทักษะการฟังเป็นทักษะการเรียนภาาาที่ง่ายที่สุด  เป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นการปูพื้นฐานความรู้ด้วยความเข้าใจ เพราะเป็นทักษะเเรกที่ต้องเรียนรู้ ผู้พูดต้องฟังให้เข้าใจเสีสยก่อนจึงจะพูดโต้ตอบ อ่าน หรือเขียน ได้ ทักษาะการฟังจึงเป็นทักษะที่สำคัญในการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ดังนั้นผู้เรียนภาษาต้องเริ่มเรียนรู้และฝึกทักษะการฟังอย่างเพียงพอและจริงจัง
          การฟังที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อพยายามฟังบ่อย ๆ พยายามตั้งใจฟังและจับใจความสำคัญให้ได้ ซึ่งการเรียนรู้ด้านการฟังภาษาอังกฤษก็มีวิธีการเรียนรู้หลายวิธี เช่น การฟังข่าว ฟังวิทยุ ฟังจากโทรทัศน์ จากการดูหนัง หรือการฟังเพลง ในส่วนตัวของฉันชอบฟังเพลง จึงเลือกวิธีฝึกทักษะการฟังด้วยเพลงสากล เชื่อว่าทุกคนฟังเพลงสากล แต่มีไม่กี่คนที่รู้ความหมายของเพลง เพลงนี้ต้องการสื่ออะไร หากฟังเบบนั้นก็เป็นแค่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน แต่หากเป็นการเปิดหาความหมายของเนื้อเพลงไปด้วยจะฝึกการแปลให้แก่ตัวเราด้วย  ซึ่งข้อดีของการฝึกแบบนี้ คือเราสามารถฟังเพลง 1 เพลง ซ้ำ ๆได้หลายรอบโดยไม่เบื่อ เพราะไม่มีใครที่ฟังเพลงครั้งเดียวแล้วเลิกฟังเลย  เรามักจะฟังซ้ำ ๆ ทุกวันจึงทำให้เกิดการคุ้นหูและเคยชินกับเนื้อเพลงนั้น หากเรารู้ความหมายยด้วยก็จะดีแก่ตัวเราที่ได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และตัวอย่างการใช้ในเวลาเดียวกัน
          เพลงสากลที่ฉันฟังคือเพลง Love me like you do เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก เป็นการเปรียบเทียบ โดยใช้คำว่า  You're... และ love me like you do. เพลง  Up town  Funk เป็นเพลงที่ใช้ประโยคเดิมซ้ำ ๆ ใช้ don't  เป็นส่วนมาก เพลง Sugar เป็นเพลงรักเชิงแอบรัก ในเนื้อเพลงแสดงถึงความต้องการ  want to  เป็นส่วนมาก เพลง Kiss me เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการเปรียนเทียบความรัก สังเกตได้ว่าเนื้อเพลงเป็น  phrase ส่วนมากใช้คำว่า like นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเพลงที่ฉันฟังและฟังซ้ำ ๆ จนชินหู แต่ก็ยังมีบางเพลงที่ไม่ค่อยสนใจและยังไม่เข้าใจความหมายของเพลงว่าต้องการสื่ออะไร แต่ในโดยภาพรวมจากการฝึกทักษะการฟังด้วยการฟังเพลงสากลนั้น สามารถทำให้เข้าใจและฟังสำเนียงชาวต่างชติได้ง่ายขึ้น รวมถึงรู้โครงสร้างประโยคของในแต่ละเพลงอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจในเนื้อเพลงมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 18 สิงหาคม

     สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน

         ปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษได้มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของทุกคนและยังถือเป็นภาษาอินเตอร์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วโลก เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธุรกิจ การค้า การเมือง การศึกษา การท่องเที่ยว และด้านอื่น ๆ อีกมากมายล้วนใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางทั้งสิ้น ในตอนนี้หลายประเทศกำลังเปิดเป็นประเทศ ASEAN ทำให้ภาษาอังกฤษได้รับความสสำคัญและน่าสนใจมาากยิ่งขึ้น เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในกลุ่มประเทศ ASEAN ทุกคนต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร ดังนั้นด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงควรหันมามองความสำคัญและเรียนรู้ภาาาให้มากยิ่งขึ้นด้วย เพื่อให้พูดคุยติดต่อสื่อสารและใช้ชีวิตอยู่ได้ในสังคมปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญการเรียนภาษามากขึ้น เริ่มต้นจากขั้นพื้นฐานและเพิ่มความยากไปตามระดับ คือเริ่มจากการเรียนรู้บทสนทนาสื้อสารเบื้องต้น และด้านไวยากรณ์ หลักการใช้ต่าง ๆ ของไวยากรณ์และในส่วนของ TENSE ซึ่งในส่วนของ TENSE นี้หากเกิดความเข้าใจดีแล้ว สามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ในการเรียยนรู้ในห้องเรียนวันที่ 18 สิงหาคมนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่อง TENSE ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์ทางภาษา เป็นตัวช่วยในการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ทั้งด้านการพูด อ่าน เขียน และการแปลได้อีกด้วย
         จากการเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นการทบทวนความรู้เดิมเรื่อง TENSE ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณือังกฤษ เป็นส่วนสำคัญในการบ่งบอกเวลาและถือเป็นความรู้พื้นฐานในการเรียนภาษาทั้งด้านการอ่าน ฟัง พูด อ่าน และเขียน หรือ แปล TENSE จะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจภาษาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เป็นตัวกำหนดเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าเกิดขึ้นในเวลาไหน เมื่อไหร่ เรื่องนั้นผ่านมาแล้วหรือกำลังเกิดขึ้น หรือยังไม่ได้เกิดขึ้นแต่กำลังจะเกิดในอนาคต TENSE นี่แหละจะเป็นตัวช่วยในการหาคำตอบเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ TENSE มีโครงสร้างมากมายหลายเวลาจึงเป็นเรื่องยากที่จะจำและเรียนรู้ได้ทั้งหมด ฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้หลักการใช้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยจำหลักการง่าย ๆที่ว่า "อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันฉันรักเธอ และจะรักเธอตลอดไป" ก็คือ TENSE แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา
    อดีต : เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่จบลงไปแล้วในอดีต
    ปัจจุบัน : เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
    อนาคต : เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น อาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้
ซึ่งใน 3 ช่วงเวลานี้เป็นเพียงช่วงเวลาหลัก ๆ และสามารถแบ่งย่อยได้อีก โดยแบ่งช่วงเวลาทั้งหมดออกเป็น 4 กลุ่ม คือ Simple, Continuous,Perfect และ Perfect Continuous ในแต่ละกลุ่มนี้จะมีลักษณะโครงสร้างต่างกันตามช่วงเวลานั้น ๆ ทำให้ในแต่ละช่วงเวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่างกัน หากเลือกใช้ TENSE ผิด ความหมายของประโยคนั้นก็จะเปลี่ยนไปทันที
         การเรียนเรื่อง TENSE ในห้องเรียนครั้งนี้ทำให้ได้ทบทวนความรู้เดิม ทำให้ได้รู้ตัวเองว่ารู้และเข้าใจไวยากรณ์อังกฤษในส่วนของ TENSE มากน้อยแค่ไหน และสามารถนำความรู็ไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด เพราะ TENSE เป็นไวยากรณ์พื้นฐานในการเรียนภาษาและเปรียนเสมือนหัวใจหลักในการเรียนภาษา มีหน้าที่เชื่อมโยงความรู้ไปในด้านต่าง ๆ ทั้งทักษะการอ่าน ฟัง พูด เขียน และรวมถึงทักษะการเเปลอีกด้วย ทุกด้านล้วนมี TENSE มาเกี่ยวข้อง ซึ่งถือว่าเป็นการปูพื้นฐานความรู้ทางภาษาที่ดีให้แก่ตัวเอง เพื่อที่จะสามารถพูดคุยติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว และเป็นพื้นฐานในทุก ๆด้านทางภาษาอีกด้วย TENSE จะช่วยให้เข้าใจตัวภาษาได้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจากการเรียนรู้ในคาบเรียน ข้าพเจ้าได้ตระหนักถึงความสำคัญในส่วนนี้และนำความรู้เกี่ยวกับ TENSE ไปใช้ให้ถูกต้อง อีกทั้งจะฝึกฝนตนเองโดยการเรียนรู้นอกห้องเรียน เรียนจากหนังสือ ENGLISH GRAMMAR IN USE ซึ่งมีบทเรียนและแบบฝึกหัด แบบทดสอบให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ เพื่อเพิ่มความรู้ทางด้านไวยากรณ์ให้มากยิ่งขึ้นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม



                                                      สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน



         การเรียนรู้นอกห้องเรียนคือการใช้เวลาว่างจากห้องเรียนมาเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าในสิ่งที่สนใจเพิ่มเติมนอกจากห้องเรียน โดยผู้เรียนเป็นผู้กำหนดสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง เปรียบเสมือนครูที่ทำแผนจัดการเรียนรู้ให้นักเรียน เพราะการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้นจะขึ้นอยู่กับความสใจของแต่ละบุคคล ใครอยากเรียนอยากรู้เรื่องอะไรก็ต้องกำหนดขอบเขตและวางแผนการเรียนด้วยตนเอง ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้มากมายหลายรูปแบบขึ้นอยู๋กับความสนใจของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องมีความตั้งใจ มุ่งมันแน่นอน และสามารถเรียนรู้ได้อย่างถูกวิธี การเรียนรู้ด้วยตัวเองในสมัยที่เทคโนโลยีรุ่งเรืองเเบบนี้ สามารถเรียนรู็ได้ง่าย มีแหล่งการเรียนรู้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นทางวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เน็ต ผู้เรียนสมัยใหม่สามารถเรียนรู้นอกห้องเรียนควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในห้องเรียนไดด้อย่างเหมาะสม โดยเน้นการเรียนนอกห้องเรียนในส่วนของวิชาภาษาอังกฤษ เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารกันทั่วโลก ผู้เรียนจึงศึกษาเกี่ยวกับภาษานอกห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองนั้น สามารถเรียนรู้ได้โดยการเรียนออนไลน์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต การดูหนัง ฟังเพลง และวิธีอื่นๆอีกมายมายตามความสนใจของผู้เรียน
         การดูหนังเป็นกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างหนึ่งที่ฉันทำ เพราะการดูหนังจะเรียนรู้ทางภาษาอังกฤษได้มาก คือ ทักษะการฟัง การสังเกต คำต่าง ๆ และการแปลเนื้อเรื่อง เพื่อทำความเข้าใจ อีกทั้งยังให้ความสนุกเพลิดเพลินอีกด้วย โดยตัวดิฉันไม่ใช่เป็นคนเก่งภาษาอังกฤษ แต่ชอบในการดูหนังฝรั่ง จึงค้นหาวิธีการดูหนังอย่างไรให้เข้าใจ และดิฉันก็ค้นพบวิธีการดูหนังและมีประโยชน์ในการเรียนรู้ คือ
         -  วิธีที่ 1 ดูหนัง Thai subtitle ตามด้วย English subtitle แล้วดู No subtitle เป็นวิธีที่ทุกคนเคยได้รับการแนะนำมาเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้ทำตาม เพราะเสียเวลา ต้องดูหลายครั้ง
         -  วิธีที่ 2 อ่าน Plot หรือดูตัวอย่างหนัง ตามด้วย English subtitle เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและช่วยสร้างความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ ด้วยตนเองเป็นวิธีที่เหมาะสมกับผู้ที่มีความรู้ทางภาษาแล้วในระดับหนึ่ง
         -  วิธีที่ 3 ดูหนัง No subtitle ตามด้วย  English subtitle เป็นวิธีที่เน้นการทำความเข้าใจถึงส่วนจ่าง ๆ ของเรื่อง ต้องพยายามอ่าน subtitleให้หมดเพื่อจับใจความสำคัญของเรื่องนั้นและสะสมคำศัพท์
         -  วิธีที่ 4 ดูหนัง Thai subtitle เป็นการดูเพื่อทำความเข้าใจ ฝึกทักษะการฟัง พยายามอย่าอ่าน 
 subtitle เพื่อเป็นการฝึกและพัฒนาตนเองทางด้านภาษามากยิ่งขึ้น
         ดิฉันเลือกที่จะดูหนังเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาขงตนเอง ในสัปดาห์นี้ได้ดูหนังเรื่อง ANT-MAN  เนื้อเรื่องเกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีความสามารถในการยืดหยุ่นร่างกายโดยมีรูปร่างเป็นมด หรือ มนุษย์มด นั่นเอง มาเพื่อปกป้องโลกและชีวิตของผู้อื่น และปกป้องความลับของมนุษย์มดจากแผนการร้ายของผู้ที่ต้องการนำความสามารถและพลังไปใช้ในทางที่ผิด แต่ทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวมเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อลูกสาวของเขาด้วย หนังเรื่องนี้ได้สะท้อนแง่คิดมากมายหลายด้าน เมื่อดูจบทพให้เกิดความรู้สึกที่ว่า หนังเรื่องนี้นอกจากได้ฝึกทักษะทางภาษาแล้วยังได้ทักษะชีวิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะทุดส่วนในเนื้อเรื่องมีข่อคิดดีๆ แอบแฝงอยู่ทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อคิดทางด้านจิตสาธารณะ การเมือง การช่วยเหลือคนอื่น หน้าที่ ครอบครัว ในส่วนของภาษาก็ได้ทักษะการฟัง คำศัพท์ใหม่ ๆ และเพลงประกอบภาพยนตร์ที่สนุกสนานอีกด้วย ทำให้การดูหนังไม่น่าเบื่อแม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็ตาม
         จากการดูหนังเรื่อง ANT-MAN  ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูหนังวิธีต่าง ๆ ตามความสนใจของผู้เรียนและได้ฝึกทักษะดังนี้ 
    ทักษะการฟัง : ฟังเนื้อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษแล้วจับใจความสำคัญ ทำความเข้าใจด้วยตนเอง
    ทักษะการอ่าน : อ่าน subtitleทำให้คำศัพท์ใหม่ ๆ
    ไวยากรณ์ : พูดถึง TENSE บ่งบอกเหตุการณ์ในเรื่องว่าเกิดเวลาไหน ยังไง 
และนอกจากนี้ยังมีทักษะชีวิตที่ได้จากการดูหนังเรื่องนี้ เป็นการปกป้องดูแลคนที่เรารัก การมีจิตสาธารณะ การช่วยเหลือคนอื่น  ข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคมและยังมีเกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์อีกด้วย นอกจากเกิดความสนุกสนานแล้วยังมีข้อคิดดี ๆ และการพัฒนาทักษะทางภาษาอีกด้วย ถือเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่คุ้มค่าและใช้เวลาว่างได้เกิดประโยชน์สูงสุดจริง ๆ