วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 6 ตุลาคม

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน 


          ไวยากรณ์ (Grammar) เป็นกระบวนการทางภาษาที่จะควบคุม และรวบรวมคำเพื่อก่อให้เกิดหน่วยของความหมายที่ยาวขึ้น ไวยากรณ์จึงเป็นตัวกำหนดเกณฑ์พื้นฐานของกิจกรรมในห้องเรียนที่มีจุดประสงค์ของการเรียนรู้ชั่วคราว เพื่อให้มองเห็นผลได้ในระยะยาว เพราะการใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วควรเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้เรียนรู้ด้วยวิธีการหลากหลายในระยะยาว ผู้สอนต้องนำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียนหลังจากนั้นก็อธิบายถึงกฎของการใช้ของไวยากรณ์ตัวนั้นและควรมีแบบฝึกหัดให้แก่นักเรียนเพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นเข้าใจโครงสร้างของไวยากรณ์ตัวนั้นได้อย่างลึกซึ้ง แต่หลายคนคิดว่า ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นอะไรไม่ชอบเอาเสียเลย สาเหตุเพราะหลายคนคิดว่ายาก มันก็เลยยากอย่างที่เราคิดจริง ๆ ด้วย เพราะเมื่อเราคิดดังนั้น เราก็ไม่คิดที่จะศึกษากันอย่างจริง ๆ จัง แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ถ้าเราคิดว่ามันคงไม่ยากหรอก ถ้ายากคงไม่มีใครเรียนรู้เรื่อง หากเรามีความคิดเช่นนี้ สมองก็จะสั่งการว่าคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ และเราก็ทำได้จริง ๆ ด้วย จึงขอแนะเบื้องต้นตรงนี้ว่าการเรียนไวยากรณ์คือการเรียนความแตกต่างของหลักภาษา ถ้าเราทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งรับรองว่าไม่ยากเกินที่เราจะศึกษาหรอก โดยเริ่มจากระดับง่าย ๆ ไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้น ซึ่งหลักไวยากรณ์เบื้องต้นที่นักเรียนควรเรียนรู้ให้เข้าใจนั้นต้องตอบคำถามความแตกต่างของภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีอยู่มากมาย แต่ที่วันนี้ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง Noun Clause จากห้องเรียนและมาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจมากยิ่งขึ้น

          จากการศึกษาเรื่อง Complex Sentence ในคาบก่อนหน้านี้ แล้วนั้น ฉันยังคงไม่เข้าใจอยู่บางส่วน อาจารย์ได้อธิบายเชื่อมโยงมาถึง Clause และครั้งนี้ สอนเรื่อง Noun Clause ทำให้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมาย ประเภทต่าง ๆ หน้าที่ หลักการใช้ ของNoun Clauseได้มากยิ่งขึ้นว่า Noun Clause คือ ประโยคย่อยทำทำหน้าที่เหมือนคำนามหนึ่งคำอาจเป็นประธานหรือกรรมก็ได้ ในชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยินหรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่เลย และจะเชื่อมด้วยคำเชื่อมต่อไปนี้ ได้แก่ question words เช่น what, where, when, why, which, who, whom, whose, how, whether, if และ that เป็นต้น Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งของประธานจะเรียกว่า “Subject noun clauses” และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรมจะเรียกว่า "Object noun clauses" Object Noun Clauses จะต้องอยู่คู่กับ Main Clause ของประโยคเสมอ โดยประโยคจะเริ่มด้วย Main Clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "that"

2. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย "Wh-Words" (หรือ Question Words)

3. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "if" หรือ "whether"

          1. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "That" เราใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้

1. ใช้ตามหลัง verbs บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือ ความคิดเห็น เช่น agree, feel, know, remember, believe, forget, realize, think, doubt, hope, recognize, understand เช่น

     I agree that we should follow him.

    She knows that her mom loves her.

2. ถ้าเป็นภาษาพูด มักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause เช่น

    I think that it’s red, not blue. (ภาษาทางการ)

    I think it’s red, not blue. (ภาษาพูด)

3. Verbs ใน main clauses มักจะเป็น present tense แต่ verbs ใน noun clauses จะเป็น tense อะไรก็ได้ เช่น

  I believe it’s raining. (now)

  I believe it’ll rain. (very soon)

  I believe it rained. (a moment ago)

4. ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด noun clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clauses ได้ เช่น

 Surat: Is Surawee here today?

 Dendao: I think so. (คำพูดเต็มๆก็คือ I think that Surawee is here today.)

 Dares: Has the rain stopped?

 Sompet: I don’t believe so. (คำพูดเต็มๆก็คือ I don’t believe that the rain has stopped.)

2) การละคำนำหน้า that ที่นำหน้า noun clause * ที่ทำหน้าที่บางหน้าที่ใน complex sentence สามารถจะละได้ในกรณี ต่อไปนี้

  กรณีที่ noun clause เป็น object

        We believe (that) he told the truth.

        The police assured us (that) the children would be found safe and sound.

        I wish (that) I would win the first prize.

กรณีที่ noun clause เป็น subject complement

      The reason is (that) he speaks English fluently.

      My opinion is (that) you'd better stay home.

ตามหลังคำคุณศัพท์

     I am sure (that) he can get a good job.

    They are afraid (that) they cannot catch the 6 o'clock train.

 ในกรณีที่ noun clause เป็นประธาน ไม่ สามารถละ that ได้

           2. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words ได้แก่คำว่า what where when why how 
มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า indirect wh-questions และแม้ว่า noun clauses เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับคำ (word order) ในอนุประโยคนี้ จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม 
 เช่น    I know why he comes home very late. (ไม่ใช่ why does he come home very late)

           I don’t know when he will arrive. (ไม่ใช่ when will he arrive)

2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นบอกเล่า จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค

เช่น Could you tell me where the elevators are?     (Main clause เป็นคำถาม)

I’m wondering where the elevators are.         (Main clause เป็นบอกเล่า)

3. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ หรือเราไม่แน่ใจ

เช่น I don’t know how much it costs.

       I would like to know when our next meeting will be.

       I’m not sure which house is his.

4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ

เช่น   Could you tell me who are injured in the accident?

         Can you tell me what time the show starts?

3. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย If หรือ Whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions นั่นเอง

 เช่น    Direct Question: Did they pass the exam?

           Indirect Question: I don’t know if they passed the exam.

2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words

3. จะขึ้นต้น Noun Clauses ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ 

  เช่น      Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea.

              Tell me if you want to go with us or not.

4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง

 เช่น      I can’t remember if I had already paid him.
       
             I wonder whether he will arrive in time.

5. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ

 เช่น      Do you know if the principal is in his office.

             Can you tell me whether the tickets include drinks?

Noun clause ทำหน้าที่ต่างๆดังต่อไปนี้     ในตัวอย่างข้างล่างประโยค a มีคำนามหรือกลุ่มคำนาม (noun phrase) และประโยค b มี noun clause ในตำแหน่งเดียวกันกับประโยค a

     1. Subject

a. His statement is correct.

b. What he said is correct.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า What he said (สิ่งที่เขาพูด) ใน ประโยค b เป็นประโยคย่อย คือมีภาคประธาน he และภาคแสดง said โดยซ้อนอยู่ในประโยคอีกประโยคหนึ่งและทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคนั้น เทียบได้กับกลุ่มคำนาม His statement (คำพูดของเขา) ซึ่งเป็นประธานของประโยค a

     2. Direct Object

a. We doubt his way of doing it.

b. We doubt how he did it.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า how he did it เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมตรง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his way of doing it ในประโยค a

     3. Indirect Object

a. He told the story to everyone.

b. He told the story to whomever he met

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า whomever he met เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมรอง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม everyone ในประโยค a

     4. Object of a Preposition

a. His relatives are curious about his living place.

b. His relatives are curious about where he lives.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า where he lives เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นกรรมตามหลังบุพบท เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his living place ในประโยค a

     5. Subject Complement

a. The question is about the timing of parliament dissolution.

b. The question is (about) when parliament will be dissolved.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า when parliament will be dissolved เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน ที่ตามหลัง คำกริยา BE เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the timing of parliament dissolution ในประโยค a

     6. Object Complement

a. You may name him Sam.

b. You may name him whatever you like.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า whatever you like เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เทียบได้กับ Sam ในประโยค a

     7. Appositive

a. Jack, the hero in the story, needs to prove his innocence.

b. The fact that he was not at the murder scene needs to be proved.

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า that he was not at the murder scene เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น appositive เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the hero in the story ในประโยค a

นอกจากนี้ยังได้ศึกษาเกี่ยวกับการลดรูปของ noun clause เป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้ดังนี้

           การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น noun phrase โดยมีวิธีการลดรูปคือ

1) ให้เปลี่ยนคำกริยาให้เป็นคำนามและคำกริยาวิเศษณ์ให้เป็นคำคุณศัพท์ ถ้าประธานเป็นชื่อเฉพาะให้ใช้ ’s

That Tom behaved well made his
parents happy.
That Tom behaved well made his parents happy.
Tom’s good behavior made his parents happy.

แต่ถ้าเป็นคำสรรพนามให้ใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive adjective) และตัด that ออก

They know that he desires to marry her soon.
They know That he desires to marry her soon.
They know his desire to marry her soon.


2) ในกรณีที่ใน noun clause มีโครงสร้าง เป็น S + linking verb + ADJ ให้เปลี่ยนคำคุณศัพท์

เป็นคำนามและใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของซึ่งมาจากประธานและกริยาเชื่อมในประโยคเดิมนำหน้า

That he is insincere is well known.
That he is insincere is well known.
His insincerity is well known.

3) ในกรณีที่ไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าประธานเป็นใครดังในตัวอย่างข้างล่างซึ่งมี one เป็นประธานของคำกริยาใน noun clause สามารถตัดประธานออกได้

That one is ignorant of school regulations is not an excuse to violate them.
That one is ignorant of school regulations is not an excuse to violate them.
Ignorance of school regulations  is not an excuse to violate them.


4) ในกรณีที่ noun clause ตามหลังคำคุณศัพท์ เมื่อลดรูปเป็น noun phrase ต้องมีคำบุพบทหลังคำคุณศัพท์ ซึ่งจะใช้คำบุพบทคำใดขึ้นอยู่กับคำคุณศัพท์นั้น

I’m sure that I will succeed in climbing the mountain.
I’m sure that I will succeed in climbing the mountain.
I’m sure of my success  in climbing the mountain.

การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น gerund ได้ โดยมีวิธีการลดรูปดังนี้

1.) หากประธานใน main clause และใน object noun clause เป็นตัวเดียวกัน ให้นำคำกริยาใน noun clause มาเปลี่ยนเป็น gerund

I forgot that I had given her permission.

I forgot that had given her permission.

I forgot having given her permission.
Kenny denied that he cheated on the examination.

Kenny denied that he cheated on the examination.
Kenny denied cheating on the examination.


2) ในกรณีของ subject noun clause ให้นำคำกริยามาเปลี่ยนเป็น gerund และใช้ ’s ในกรณีที่ประธานเป็นชื่อเฉพาะหรือใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของแทนประธานที่เป็นคำสรรพนาม

That Tom came late made him unable to finish the examination on time.

That Tom came late made him unable to finish the examination on time.   
Tom’s coming late made him unable to finish the examination on time.
That he came late resulted in him being unable to finish the examination on time.
That he came late resulted in him being unable to finish the examination on time.
His coming late resulted in him being unable to finish the examination on time.


3) ในกรณีที่เป็น subject noun clause ซึ่งมีประธานเป็นบุคคลทั่วไปหรือ we, they, you และ one ให้เปลี่ยนคำกริยาเป็น gerund ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของนำหน้า

That we sign the contract is vital to our company’s survival.
That we sign the contract is vital to our company’s survival.
Signing the contract is vital to our company’s survival.

การลดรูป noun clause เป็น infinitive

1) noun clause นำหน้าด้วย that ที่ทำหน้าที่กรรมของคำกริยาใน main clause สามารถลดรูปเป็น infinitive ได้

He claimed that he had lived on this land for 20 years.
He claimed that he had lived on this land for 20 years.
He claimed to have lived on this land for 20 years.
It’s time that we went home.
It’s time that we went home.
It’s time for us to go home.


2) noun clause ที่นำหน้าด้วย wh-word หรือ whether ลดรูปเป็น infinitive phrase ได้ ในกรณีที่ noun clause มีประธานเป็นบุคคลทั่วไปหรือ you, we และ one และมี modal แสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการลดรูปยังใช้ wh-word ที่เป็นคำนำหน้าและเปลี่ยนคำกริยาให้เป็น infinitive

She asked the referee who should be declared the winner.
She asked the referee who should be declared the winner.
She asked the referee who was to be declared the winner.
Tell me how you can fix the oven.
Tell me how you can fix the oven.
Tell me how to fix the oven.
What we should do depends on the situation.
What we should do depends on the situation.

What to do depends on the situation.

          จากการศึกษาเรื่อง Noun Clause ทำให้ดิฉันเข้าใจได้ว่า Noun Clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เดียวกับคำนามตัวหนึ่ง คือสามารถใช้ประธาน เป็นกรรม เป็นส่วนสมบูรณ์หรือเป็นนามซ้อนก็ได้ Noun Clause จะเชื่อมด้วยคำ what, where, when, why, which, who, whom, whose, how , whether, if และ that ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็น Subject, Direct Object, Indirect Object, Object of a Preposition, Subject Complement, Object Complement และ Appositive ได้ โดยมีการใช้คำนำหน้า สามารถลดรูปเป็นกลุ่มคำต่าง ๆ ได้ 3 แบบ ดังนี้ การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น noun phrase , การลดรูป noun clause ที่นำหน้าด้วย that เป็น gerund และการลดรูป noun clause เป็น infinitive หลังจากการเรียนในห้องเรียนแล้วนั้น อาจารย์ได้มอบหมายงานให้กลับมาทำเป็นการบ้าน ซึ่งจากการศึกษาในครั้งนี้สามารถทำให้ดิฉันทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ง่ายขึ้น เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ทำงานด้วยความเข้าใจและสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนในครั้งนี้ไปต่อยอดความรู้ในการเรียนระดับที่ยากขึ้นต่อไป


      สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน   


         ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของโลก ใครรู้ภาษาอังกฤษก็สามารถลุยได้ทั่วโลก ทั้งการต่อยอดการศึกษา การทำงานและการทำการค้า การฝึกทักษะต่างๆ ทั้งทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และทักษะการเขียนที่สำคัญในการที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพและเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง แต่การฝึกทักษะทั้งที่สี่นี้ก็ถือเป็นเรื่องยาก หากผู้เรียนไม่สนใจที่จะฝึกฝนและเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้แต่ภายในห้องเรียนนั้น ไม่สามารถทำให้เก่งภาษาอังกฤษขึ้นได้ ต้องมีการเรียนรู้ ศึกษาเพิ่มเติมนอกเวลาเรียนด้วย การเรียนรู้นอกห้องเรียนคือการใช้สถานที่นอกห้องเรียน เป็นห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการเรียนที่เกิดจากความอยากรู้ อยากเห็น ผู้เรียนจะมีการวางแผนด้วยตนเอง และควรเริ่มต้นจากผู้เรียนกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้บุคคลที่เรียนรู้ด้วยตนเอง จะเรียนอย่างตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจสูง สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้ดีกว่า และยาวนานกว่าบุคคลที่รอรับการสอนแต่อย่างเดียว เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล เพราะเราได้ขวนขวายและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และใน ปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถ สื่อสารภาษาอังกฤษได้ ย่อมทำให้ได้เปรียบคนอื่นๆ ทั้งนี้เราก็สามารถฝึกภาษาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองได้หลากหลายวิธี เช่น ฟังเพลง ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ตามที่เราสนใจ เพื่อที่พัฒนาทักษะทางภาษาเหล่านั้น สำหรับตัวดิฉันเองก็อยากเป็นคนหนึ่งที่อยากเก่งภาษาอังกฤษ ดิฉันจึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างมาฝึกทักษะทางภาษาให้เกิดความชำนาญยิ่งขึ้น
          ในวันที่ 6 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ศึกษา 6 วิธีการออกเสียงเวลาพูดภาษาอังกฤษให้ ไม่เหน่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. คำที่ลงท้ายด้วย -tion อย่าออกเสียงว่า ชั่น ให้ออกเสียงว่า เฉิ่น เช่น nation อย่าออกเสียงว่า เนชั่น ให้ออกเสียงว่า เน้เฉิ่น
2. คำที่ลงท้ายด้วย -ing อย่าออกเสียงว่า อิ้ง ให้ออกเสียงว่า อิ่ง เช่น going อย่าออกเสียงว่า โกอิ้ง ให้ออกเสียงว่า โก๊อิ่ง
3. คำที่ลงท้ายด้วย -er/-or อย่าออกเสียงว่า เอ้อ ให้ออกเสียงว่า เอ่อ เช่น teacher และ color อย่าออกเสียงว่า ที้ชเช่อร์ คัลเล่อร์ ให้ออกเสียงว่า ที้ชเฉ่อร์ คั้ลเหล่อร์
4. คำที่ลงท้ายด้วย -ment อย่าออกเสียงว่า เม้นท ให้ออกเสียงว่า เหม่นท เช่น comment อย่าออกเสียงว่า คอมเม้นท ให้ออกเสียงว่า ค้อมเหม่นท
5. คำที่ลงท้ายด้วย -ty -ly -ry อย่าออกเสียงว่า ตี้ ลี่ รี่ ให้ออกเสียงว่า ถี่ หลี่ หรี่ เช่น city lovely very อย่าออกเสียงว่า ซิตี้ เลิ้ฟลี่ เวรี่ ให้ออกเสียงว่า ซิถี่ เลิ้ฟหลี่ เฟ้หรี่
6. คำว่า is/was ถ้าอยู่ในประโยค อย่าออกเสียงว่า อี้ส กับ ว้อส ให้ออกเสียงว่า อิ่ส และ เวิ่อส
และลองฝึกอ่านสองประโยคนี้ แล้วสังเกตว่าการออกเสียงของเราดีขึ้นบ้างมั้ย
He is a very good teacher teaching at a university in the city center.
She was a lovely manager working in an apartment near the train station.
ซึ่งจากการศึกษา 6 วิธีการออกเสียงเวลาพูดภาษาอังกฤษและฝึกออกเสียงจากประโยคสองประโยคนั้น ทำให้ดิฉันรู้สึกว่ารู้วิธีการพูดให้ถูกต้อง และสามารถออกเสียงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

          หลังจากนั้นได้ฝึกฟังและพูดภาษาอังกฤษ จากเว็บไซต์ http://www.englishspeak.com/th/english-lessons.cfm เป็นบทเรียนในโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการสนทนาในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ละบทเรียนมาจากบทสนทนาในชีวิตประจำวัน เพื่อฟังการออกเสียงประโยค , คลิกที่ไอคอนเสียงในคอลัมน์ ออดิโอ เพื่อฟังการออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำ, วางเคอร์เซอร์บนคำศัพท์นั้นๆ ดูความหมายของแต่ละคำศัพท์ภาษาอังกฤษ, คลิกบนคำศัพท์ ซึ่งมีบทเรียนทั้งหมด 100 บทเรียน ดิฉันได้เลือกเรียนไปเฉพาะเรื่องที่สนใจ จำนวน 5 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรกที่ดิฉันได้เลือกเรียนเกี่ยวกับการถ่ายรูป เป็นการขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ ใช้ประโยคที่ว่า Excuse me, sir, will you take a picture of us? ถามวิธีการใช้ How do you use it? และการขอบคุณที่ถ่ายให้ เรื่องที่สอง คือ ฉันเริ่มอ้วน เป็นการถาม – ตอบ เกี่ยวกับน้ำหนัก คุณน้ำหนักเท่าไร? How much do you weigh? ฉัน คิดว่า ประมาณ 170 ปอนด์. I think about 170 pounds. ถามอาหารที่คุณ ทานอาหารประเภทไหน? What kind of foods do you eat? พูดคุยถึงการกินอาหารที่ทำให้อ้วนและวิธีการลดน้ำหนัก เรื่องที่สามคือ ภาษาอังกฤษของคุณ ดีมาก เป็นบทสนทนาถาม โธมัส ว่า ภาษาอังกฤษของคุณ ดีมากๆ คุณเรียนมาจากไหน ? Thomas your English is so good. How did you learn it? และการตอบ อืมม์, ใน ประเทศของผมทุกคนจะต้องเรียน เริ่มเรียนภาษาอังกฤษใน ชั้นป 1.ผมเรียนภาษาอังกฤษมาตลอด 12 ปี แล้วจนถึงตอนนี้. Well, in my country everyone has to take English starting in the first grade. I've been taking English courses for 12 years now. เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษและสภาวะแวดล้อมรอบข้าง เรื่องที่สี่คือ ฉันเป็นนักเรียน ยกตัวอย่างบทสนทนาถาม –ตอบ what do you do for work? I'm still a student. What school do you go to? Boston University เป็นต้น ทั้งเรื่องจะเกี่ยวกับการเรียนทั้งหมด และเรื่องสุดท้ายที่ฝึกฟังและพูดตามได้แก่เรื่อง อ่านหนังสือเตรียมสอบ เป็นการสนทนาถาม-ตอบ ถึงความเป็นอยู่ กำลังทำอะไรอยู่ how have you been? OK, I didn't sleep much last night though. I stayed up until 2AM studying for an exam. จากการเรียนรู้ในนครั้งนี้สามารถฝึกทักษะได้ถึงสองทักษะในเวลาเดียวกัน คือทักษะการฟังและทักษะการพูด

         และสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษจากนิทานอีสป [Aesop’s Fables] เรื่อง The Fox and the Stork (สุนัขจิ้งจอกและนกกระสา) จาก http://www.pasaangkit.com/tag/นิทานภาษาอังกฤษ/ มีเนื้อเรื่องมีอยู่ว่า At one time the Fox and the Stork were on visiting terms and seemed very good friends. So the Fox invited the Stork to dinner, and for a joke put nothing before her but some soup in a very shallow dish. This the Fox could easily lap up, but the Stork could only wet the end of her long bill in it, and left the meal as hungry as when she began. “I am sorry,” said the Fox, “the soup is not to your liking.”  “Pray do not apologies,” said the Stork. “I hope you will return this visit, and come and dine with me soon.” So a day was appointed when the Fox should visit the Stork; but when they were seated at table all that was for their dinner was contained in a very long-necked jar with a narrow mouth, in which the Fox could not insert his snout, so all he could manage to do was to lick the outside of the jar. “I will not apologies for the dinner,” said the Stork 
          ซึ่งเมื่อดิฉันแล้วสามารถแปลและทำความเข้าใจได้ว่า กาลครั้งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกและนกกระสากำลังเริมคบหากันใหม่ๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ดังนั้นสุนัขจิ้งจอกจึงเชิญนกกระสามากินอาหารเย็นที่บ้านและมันได้วางจานซุปแบนๆ ไว้ตรงหน้านกกระสาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สุนัขจิ้งจอกเลียซุปแบนๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่นกกระสาทำได้เพยงทำให้ปลายจะงอยปากของมันเปียกด้วยน้ำซุป มันจึงรู้สึกหิวอยู่ “ข้าขอโทษ”สุนัขจิ้งจอกพูด “ซุปคงจะไม่ใช่อาหารที่เจ้าชอบ” “ไม่ต้องขอโทษหรอก” นกกระสากล่าวตอบ “ข้าหวังว่าอีกไม่นานเจ้าจะไปเยี่ยมข้าเป็นการตอบแทนและกินอาหารเย็นกับข้า” ทั้งสองนัดหมายวันที่สุนัขจิ้งจอกจะมาเยี่ยมนกกระสา แต่เมื่อพวกมันนั่งลงที่โต๊ะ อาหารทุกอย่างกลับถูกบรรจุไว้ในเหยือกทรงสูงปากแคบที่สุนัขจิ้งจอกไม่อาจยื่นปากมันเข้าไปได้ ดังนั้นสิ่งที่มันทำได้คือ เลียอยู่นอกเหยือก “ข้าจะไม่ขอโทษสำหรับอาหารมื้อค่ำหรอกนะ” นกกระสากล่าว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การกระทำเลวอย่างหนึ่ง ย่อมได้รับการกระทำเลวเป็นสิ่งตอบแทน” จากการอ่านในครั้งนี้นอกจากได้ความสนุกของนิทานแล้ว ยังได้ข้อคิดดี ๆ และ คำศัพท์ใหม่ ๆ จากการอ่านและอีกทั้งยังช่วยฝึกทักษะในการแปลอีกด้วย
         ในวันที่ 7 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ฝึกทักษะความรู้เกี่ยวกับ Subject Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words (what, who, where, when, etc.) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค หรือถ้าจะให้พูดง่ายกว่านั้นคือ คำถามนี้ต้องการถามหาประธานที่กระทำกริยา โครงสร้างประโยคของมันก็ง่ายๆ ใช้ question words ที่เราต้องการถาม แล้วตามด้วย verb ได้เลย ง่ายมั้ย!! เช่น
Who ate my cake in the fridge? / Babara did.
What brings you here?

2. Object Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค ซึ่งโครงสร้างประโยคจะแตกต่างจากแบบแรกเพราะต้องใส่ตัวช่วยนั่นคือ (is, am, are, was, were, do, does, did, has, have, had, modal verbs) โดยกริยาช่วยเหล่านี้มันจะไปแทรกอยู่หน้าประธานค่ะ เช่น
Where have you been?
Who did you see on the beach last night?
เพิ่มเติมหลักการใช้กริยาช่วย do, does, did นิดนึงว่า ถ้ามีกริยาช่วยในกลุ่มนี้ปุ๊บ กริยาแท้ในประโยคไม่ว่ามันจะเพิ่มออปชั่นอะไรเข้าไป เช่น เติม s/es หรือ เติม ed/V2 อยู่ให้มันกลับมาเป็น Verb1 หรือ based form ธรรมดาได้เลย จากการศึกษาทำให้ดิฉันเข้าใจขึ้นและสามารถออกข้อสอบเรื่องนี้ได้
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการลองแต่ง Definition Paragraph โดยหาความหมายแล้วนำมาเขียนเป็น Paragraph แต่ดิฉันรู้สึกว่าเขียนไม่ดีจึงได้ศึกษาวิธีการเขียนจากเว็บไซต์  http;//www.myreadwritebooster.wordpress.com/writing-3/2-paragraph-writing-12 paragraph-of - definition. ซึ่งจากการศึกษาก็รู้วิธีการเขียน Definition Paragraph  ดังนี้

1) Write one topic sentence that mention the element that you will define, and be sure to provide              three key defining words or phrase.
2) In about one sentence, explain you first defining word or phrase by telling why this word/phrase         define you subject.
3) Provide on two sentence that give a specific example of your first defining word or phrase.
4) Starting with a transitional phrase, explain your second defining words on about one sentence just like you did for your first defining word/phrase.
5) Write one to two sentence that give an illustrative example of your second defining word/phrase.
6) Explain your third defining key word / phrase the same way that you explained your first and second defining keyword / phrase.
7) End your paragraph with one closing sentence.
หลังจากที่ศึกษา 7 วิธีการเขียนแล้ว ดิฉันเริ่มลองเขียน  Definition Paragraph อีกครั้ง ทำให้ครั้งนี้ผลงานออมาดีกว่าครั้งก่อนหน้านี้ นอกจาก 7 วิธีการเขียนนีเแล้ว ฉันยังได้ฝึกทักษะการแปลไปในตัวอีกด้วย
          ในวันที่ 8 ตุลาคม 58 ดิฉันได้เล่นเกมส์คำศัพท์ภาษาอังกฤษจาก www.kengpasa.com/Games/games.asp. เป็นเกมส์สะสมคำศัพท์จากตัวอักษรภาษาอังกฤษให้เราได้เลือกสะสมคำเอง เป็นการทบทวนความรู้ด้านคำศัพท์ของเราเอง อีกทั้งยังเป็นการพักผ่อน ได้ทั้งความเพลิดเพลินและได้ฝึกฝนศัพท์สนุก ๆ อีกด้วย จากการเล่นเกมส์คำศัพท์ทั้งหมดมีหมวดคำศัพท์ 20 หมวด ดิฉันได้เล่นทั้งหมด 13 เกมส์คำศัพท์ ทำให้รู้สึกสนุก และได้ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ใหม่มากมาย และหลังจากที่เล่นเกมส์นี้เสร็จแล้ว ดิฉันได้เปลี่ยนไปเล่นเกมส์ใน http://www.dek-eng.com ซึ่งมีเกมส์ภาษาอังกฤษทั้งหมด 10 เกมส์ ดิฉันเลือกเล่นเกมส์ทั้งหมดเพื่อความสนุกและสะสมคำศัพท์ ดิฉันเชื่อว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเสมอไป การเล่นก็ไม่จำเป็นต้องไดความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ฉันเชื่อว่า เรียน ๆ เล่น ๆ ก็เก่งได้ โดยสามารถหาประโยชน์จากการเล่นเกมส์ได้ ดิฉันจึงเลือกที่จะเล่นเกมส์สะสมคำศัพท์ทั้งวันเพื่อใหรเาสามารถระลึกคำศัพท์เก่า ๆ ได้ แยกคำศัพท์เป็นหมวด ๆ ได้ สะสมคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้อีกเช่นกัน
          ในวันที่ 9 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ฟังเพลงจาก www.dek-eng.com/2587/คลิปวีดีโอภาษาอังกฤษ/คลิปสอนภาษาอังกฤษ/เรียน-preposition-ภาษาอังกฤษผ่านเพลง.html. เป็นวีดีโอที่เชื่อมมาจาก YouTube ชื่อว่า  preposition by the bazillions เป็นเพลงที่มีเนื้อหาสอนเกี่ยวกับ preposition มีคำศัพท์ in on at และอื่น ๆ มากมายในเพลง หลังจากนั้นดิฉันได้ฝึกการฟังโดยการฟังเพลงสากลและร้องตาม เพลงที่ฟังและฝึกร้องได้แก่เพลง Take me to church ของศิลปิน Hozier เพลง Jealous ของศิลปิน NickJons เพลง  Love me like you do  ของศิลปิน  Fifty shades of grey  เพลง All about the bass ของศิลปิน Meghan Trainor เพลง Bad blood ของศิลปิน Escape THe Fate เพลง Blank space ของศิลปิน  Kristhian Gercia เพลง Lips are movin ของศิลปิน Meghan Trainor เพลง Sugar ของศิลปิน Maroon 5 เพลง New thang ของศิลปิน specify contributing:DjSoda เพลง Shank it of เพลง Thinking out loud ของศิลปิน Ed sheeran เพลง Uptown kunk ของศิลปิน Fifth Hamony และเพลง See you again ของศิลปิน Wiz khalifa จากการฟังเพลงทั้งหมดนี้ทำให้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง ร้องตามได้ฝึกการออกเสียง แต่ดิฉันสามารถร้องตามจนจบเพลงได้แค่เพลงที่คุ้นหูเท่านั้น ดิฉันจึงคิดว่าถ้าหากฟังบ่อย ๆ ก็คงจะเกิดการพั?นามากกว่านี้
          หลังจากที่ฝึกการฟัง ดิฉันได้อ่านนิทานเรื่องสุนัขกับเงา The dog and The Shadow จาก http://engjang.com/article/topic-27743.html จากการอ่านดิฉันได้ทำการค้นหาคำศํพท์และฝึกแปล
ความหมายด้วย ซึ่งนิทานมีอยู่ว่า Once upon a time a dog met a piece of meat unexpectedly. He gripped the meat in this mouth and went straight home to eat. On his way home while he was crossing a bridge over a brook, he saw his own shadow reflected in the water beneath. He misunderstood that it was another dog with another piece of meat double his own in size. With cupidity he wanted that meat also, so barked at the dog in the water threateningly to get his larger piece. But as he opened his mouth, the piece of meat fell out and dropped into the water. He lost both of meat in the water and his own. สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขตัวหนึ่งพบเนื้อชิ้นหนึ่งเรื่องโดยมิคาดฝัน มันคาบเนื้อชิ้นนั้นไว้ในปากและตรงรี่กลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน ขณะที่มันกำลังข้ามสะพานเหนือลำธารสายเล็ก ๆ สายหนึ่ง มันก็เห็นเงาของมันเองสะท้อนอยู่ในน้ำเบื้องล่าง มันเข้าใจผิดว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่งที่มีเนื้ออีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของมันที่อยู่ในปาก ด้วยความโลภ มันอยากได้เนื้อชิ้นนั้นเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเห่าสุนัขที่อยู่ในน้ำอย่างเกรี้ยวกราด เพื่อที่จะได้เนื้อชิ้นที่ใหญ่กว่าแต่ขณะที่มันอ้าปาก เนื้อก็ร่วงหล่นไปในน้ำ มันสูญเสียเนื้อทั้งสองชิ้นทั้งที่อยู่ในน้ำและของมันเอง จากนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าท่านไขว่คว้าเงาอย่างลุ่มหลง ท่านก็จะสูญเสียสาระสำคัญไป
         ในวันที่ 10 ตุลาคม 58 ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง Abstract Noun เพื่อใช่ทำบทเรียนช่วยสอนภาษาอังกฤษในรายวิชาการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ของอาจารย์อรดา โอภาสรัตนากร ได้ศ฿กษาเกี่ยวกับความหมาย รูปที่มา การทำ Verb ให้เป็น Abstract Noun และวิธีการใช้ ซึ่งศึกษาจาก http://www.writer.dek-d.com/phetaonetolove/story/viewlongc.php?id=567638&chapter=15 เว็บไซต์ที่สอง http://www.englishpractice/com/quiz/Abstract Noun -excercise/ และเว็บไซต์ที่สาม www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID31435 จากการศึกษาพบว่า Abstract Noun  คือ อาการนาม เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผะสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ได้แก่ touch สัมผัสได้ sight มองเห็นได้  hearing ได้ยิน taste ชิง และ smell ได้กลิ่น เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ การกระทำ คุณสมบัติ หรือสภาพ ซึ่งไม่มีตัวตนที่จับต้องได้ มักจะมีคำว่า การ กรือ ความ นำหน้าเสมอ รวมถึงชื่อศิปวิทยาการต่างๆ ด้วยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำนามที่นับไม่ได้ ซึ่งมีรูปมาจากคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำนามบางคำได้ด้วย หลักจากท่ศึกษาข้อมูลแล้วนั้น ดิฉันได้ลองทำแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบความเข้าใจจาก http://www.ru-eng1001.blogspot.com/2013/09/exercise-6-identify-abstract-nouns.html. ดิฉันสามารถทำเเบบฝึกหัดได้ถุกต้องและเข้าใจเนื้อหาที่ศึกษา พร้อมที่จะนำไปทำเป็นสื่อการสอนต่อไป
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจาก www.listenaminute.com เป็นการฟังพร้อมมีแบบฝึกหัดให้ทำหลังจากการฟัง มีบทเรียนเกือบ 100 บทเรียน ดิฉันได้ลเือกฟัง 4 เรื่อง คือเรื่อง friend พูดเกี่ยวกับเพื่อนที่ดีที่สุดเปรียนเสมือกครอบครัว เรื่องที่สองคือเรื่อง exercise เกี่ยวกับการออกกำลังการอย่างไรให้สุขภาพเเข็งแรง เรื่องที่สาม คือเรื่อง food และเรื่องที่ สี่ คือเรื่อง health จากการฟังบทเรียนนี้สามารถทำแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบความเข้าใจได้เลย มีหลายรูปแบบ เช่น เติมคำให้ถูกต้อง ทำคำให้ถูกต้อง เขียนคำถามจากคำที่กำหนดให้ เขียนเป็น paragraph และอื่น ๆ อีก สามารถเลือกทำได้ตามความสนใจ นอกจากนี้ยังมีบทความของเนื้อเรื่องที่ฟังและมีคำศัพท์ยากแยกให้อีกด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เมื่ออ่านบทความนี้เเล้ว ดิฉันได้ฝึกการออกเสียงโดยการรร้องเพลง จำนวน 3 เพลง ได้แก่เพลง sugar,see you again และเพลง shake it out ซึ่งดิฉันฟังเพลงนี้อยู่ 5-6 รอบ จึงสามารถร้องได้ รอบแรกดิฉันร้องพร้อมกับเพลงโดยไม่ดูเนื้อร้อง ทำให้ร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง รอบที่ 2-3 ร้องโดยดูเนื้อเพลง สามารถร้องได้แต่ตะกุกตะกัก ไม่ทันเนื้อเพลงทำนอง และหลังจากนั้น ดิฉันก็ร้องเพลงโดยดูเนื้อเพลงอีก 1 รอบ แล้วลองร้องสด ทำใหร้องได้จนจบเพลง ดิฉแันสามารถร้องเพลงได้เพราะฟังเพลงหลาย ๆ ครั้งให้คุ้นหูแล้วร้องตาม ได้ทั้งทักษะการฟังเพลงและการออกเสียง
          ในวันที่ 11 ตุลาคม ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง phrase เน้เฉพาะไปที่ verb phrase เพราะต้องสอบสอนในรายวิชาภาษาศาสตรา์สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษ ของอาจารย์ดิศราพร สร้อยญาณะ และหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและทำสื่อการสอนด้วย ดิฉันได้หาข้อมูลจากหลายเว็บไซต์เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เว็บไซต์ http://www/sakiyah-phrase.blogspot.com http://www/tutormax.wordpress.com/2011/04/21/phrase/ www.krumac.com/2014/12/phrase.html.และจาก http://www.stou.ac.th/school/sla/englishwriting/cd-rom/modula4/presentation.html. จากการศึกษานี้ทำให้ดิฉันทราบว่า phrase คือ วลี กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียงกันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค เช่น เป็นประธาน เป็นกริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้ประกอบด้วยทั้งภาคประธานและเเสดง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ noun phrase จะมีคำนามเป็นหลัก verb phrase จะมีคำกริยาเป็นหลัก adjective phrase จะมีคำคุณศัพท์เป็นหลัก adverb phrase จะมีคำกริยาวิเศษณ์เป็นหลัก และ preposition phrase จะมีคำบุพบทเป็นหลัก วันนี้ดิฉันได้เลือกเรียนเรื่อง verb phrase และทราบว่าจะประกอบด้วย main verb และ auxiliary verb ประกอบอยุ่ และอาจจะมีคำกริยามากกว่า 1 คำก็ได้ เช่น
 Jane will work on a night shift
will work เป็น  verb phrase ซึ่งมี work เป็น main verb และ will เป็น auxiliary verb
Jane will  be working on a night shift next week
will  be working  เป็น  verb phrase ซึ่งมี working เป็น main verb และ will เป็น auxiliary verb
ซึ่ง verb phrase นี้จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยา คือบอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทำอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับประธานของประโยค จากการศึกษาทำให้ดิฉันเข้าใจ verb phrase มากยิ่งขึ้นและสามารถทบทวน main verb และ auxiliary verb ไปในตัวอีกด้วย
         หลังจากที่ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง verb phrase เสร็จแล้ว ดิฉันได้ฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากการเล่นเกมส์ เพื่อให้มีความรู้ทางคำศัพท์มากขึ้นและเพื่อคลายเครียด โดยเล่นเกมส์จากเว็บไซต์ออนไลน์ www.grammarbank.com/animals-word-games.html. เกมส์ที่เลือกเล่นเป็นหมวดสัตว์ มีเป็นเกมส์ cross word , puzzle ดิฉันได้เลือกเล่นทั้งสองแบบ มีรูปภาพประกอบสวยงาม มีความน่าสนใจและง่านต่อการจำจำคำศัพท์ ศัพท์ส่วนใหญ่เป็นคำที่ฉันรู้อยู่แล้ว เป็นคำง่าย ๆ ดิฉันจึงสามารถเล่นถูกหมดทุกข้อ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนหมวดคำศัพท์ไปเล่นศัพท์หมวดคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ในคราัว ดิฉันไม่ค่อยรู้ศัพท์ด้านี้ จึงเล่นไม่ค่อยได้ หลังจากนั้นได้เล่นเกมส์สะกดคำศัพท์เรื่อง อาชีพ จาก http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/เกมส์สะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเด็ก ๆ-spelling-bee-jobs/. เป็นศัพท์ง่าย ๆ เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ที่รู้จักกันดี จำนวน 100 อาชีพ เกมส์ต่อมาที่เล่นคือ put it on the sheaf เป็นเกมส์ที่สะสมคำศัพท์เกี่ยวกับสี โดยมีสีและคำศัพท์มาให้ แล้วให่เรามาเลือกให้ตรงกัน จากเว็บไซต์ http://gamecenter.kapook.com/flashgames-100400. เมื่อเล่นเกมส์เสร็จ ดิฉันได้ทดสอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 350 คำ จากเว็บไซต์ http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/ทดสอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 350 คำ/ พบว่าจากการทดสอบครั้งก่อนหน้านี้และกับทดสอบใหม่ครั้งนี้ ดิฉแันทำแบบทดสอบได้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน และคิดว่าหากได้ฝึกสะสมคำศัพท์บ่อย ๆ ก็คงสามารถทำได้ทุกข้อ หลังจากที่ฝึกมา 2-3 ครั้งแล้ว ดิแฉํนสังเกตตัวเองด้านคำศัพท์ รู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ที่เมื่อก่อนต้องเปิด Dictionary ทุกคำ แต่ตอนนี้สามารถทายคำศัพท์และรู้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ หากเป็นคำง่าย ๆ และเคยใช่แล้ว
          นอกจากนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง จาก www.bbc.co.uk/learningenglish/english/course/intermediate/untit-23/session-5 ฟังเรื่อง Drama ดิฉันได้ฟังประมาณ 3-4 ครั้ง และเมื่อฟังจบก็ทำกิจกรรมตอบคำถามล่างวิดีโอที่ฟังได้ ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 คำถาม ในบทเรียนนี้จะแยกคำศัพท์ยากไว้ให้พร้อใบอกความหมายเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องที่สองที่ฟั คือ Do we read to show off ? มีบทความให้ว่า  What do you read when you are on the bus or train ? Somepeople might hold a copy of a clasic novel toimpress other commuters. Nali and Alice discuss people's readind habits. ดิฉันไม่เข้าใจจึงแปลบทความนี้ด้วยและตอบคำถามที่กำหนดมาให้หลังจากที่ฟังเสร็จแล้ว มีคำศัพท์บอกความหมายเป็นภาษาอังฤษด้วย เพื่อให้แปลความหมายได้โดยไม่ต้องเปิด  Dictionary  ไทย - อังกฤษ อีก หลังจากฟังแล้ว ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจจึงฟังซ้ำ ๆ หลายรอบ แล้วเปิดดูสคริปอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจ
          ในวันที่ 12 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียน โดยการเขียงานส่งในรายวิชาการเขียน (Paragraph Writing) ของอาจารย์ อรดา โอภาสรัตนากร เขียน 2 Paragraph ได้แก่ definition paragraph  และ process paragraph  ก่อนการเขียน ดิฉันได้ศึกษาการใช้คำต่าง ๆ คำเชื่อม คำศัพท์ ทำ outline ก่อนลงมือเขียน ค้นคว้าเกี่ยวกับ definition of beauty และการเขียนอธิบายว่าใช้อะไรได้บ้าง เช่น as define as, mean as เป็นต้น ศึกษาว่า definition paragraph  คืออะไร เขียนยังไง และได้รู้ว่า definition paragraph  is a paragraph explaining a term or subject, So your audience comphenends the topic of the paragraph. This can be dove in three different way: Synonym,class and negation คือ definition paragraph คือการเขียนอธิบายคำ หรือหัวข้อสั้น ๆ เพื่อความเข้าใจ หลังจากที่ศึกษา ดิฉันลองเขียนด้วยตนเองสั้น ๆ ว่า beauty is define as the combination of all the qualities of a person or thing that the senses and please the mine or very attractive and well formed girl or women. สามารถเขียนได้ด้วยความมั่นใจ
          ในวันนี้ดิฉนได้ทำการบ้านและได้เปิดเพลงสากลฟังไปด้วย เพลงที่ฟังได้แก่เพลง we run the night ของศิลปิน Havana Brown เพลง Papi ของศิลปิน Jennifer Lopez เพลง firework ของศิลปิน Katy Perry เพลง crazy in love ของศิลปิน Beyonce เพลง whistle ของศิลปิน Flo Rida เพลง give me everything ของศิลปิน pitbull เพลง who's that chick ของศิลปิน David Guetta feat Rihanna และเพลงอื่น ๆ อีกหลายเพลงในขณะที่ทำงาน เหตุผลที่ดิฉันเลือกที่จะเปิดเพลงในขณะที่กำลงัทำงานอื่นนั้น เพราะดิฉันเชื่อว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สนมจฟัง แต่ก็สามารถซึมซับเนื้อเพลงไปได้เอง ก็คือการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราให้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดความคุ้นหูและชินไปเอง จนวันหนึ่งสามารถที่จะร้องและได้สำเนียงการร้องเพลงจากเนื้อเพลงมา ทำมห้เราสามารถพูดสำเนียงฝรั่งได้ถูกต้องและน่าฟังยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังเพลิดเพลินกับเพลงอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงชอบเปิดเพลงสากลในระหว่างที่ทำงาน
          จากการฝึกทักษะต่าง ๆ ทั้งการพูด การฟัง การอ่าน และเขียนทางภาษาอังกฤษภายใน 1 สัปดาห์นี้ นอกจากได้ความรู้และการพัฒนาตนเองแล้วยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นประจำ เพื่อช่วยให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะการใช้เวลาว่างมาฝึกทุกวัน การเรียนภาษาก็จะได้ผลดี เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากการฝึกฝนบ่อย ๆ นอกจากศึกษาภายในห้องเรียนแล้วจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อเพิ่มทักษะและพัฒนาทักษะของตนเองให้ดียิ่งขึ้นไป ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย มีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มีสื่อที่หลากหลาย ล้วนสะดวกและประหยัดเวลาในการเรียนรู้ทั้งสิ้น สำหรับตัวดิฉันเองหลังจากการเรียนรู้และฝึกฝน พัฒนาทักษะทาภาษาแล้ว สังเกตตัวเองและรู้สึกได้ว่าหลังจากที่เรียนเสร็จรู้สึกมีความรู็เพิ่มขึ้น มีคำศัพท์มากขึ้น และสามารถนำความรู้จากการศึกษาไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้อีกด้วย สามารถพัฒนาทักษะด้านการฟังได้ดีกว่าทัษธอื่นๆ เพราชอบฟังเพลงสากล ทำให้เกิดการเรียนรู้ง่ายกว่าเดิม ดังนั้นดิฉันจึงเน้นการฟังทุกวันและฝึกทักษะอื่นประกอบด้วย โดยเฉพาะ คลังคำศัพท์ เรพาะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน หากไม่รู้คำศัพท์ก็ไม่สามารถใช้และเะข้าใจภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษได้มีความแตกต่างกันมาก หากผู้เรียนสนใจและศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็จะสามารถใช้ความรู้ได้อย่างถูกต้อง พูดได้อย่างคล่องแคล่วชัดเจนอีกด้วย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น