วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันที่ 13 ตุลาคม

สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน

          หลายคนพอมีเวลาว่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร ทั้ง ๆ ที่ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเราทำงานอดิเรกที่เราชอบวันละ 20 นาที เราจะเะชี่ยวชาญในสิ่งนั้น ๆ ได้ เหตุใดคนวัยกลางคนและคนวัยทองทำอะไรแปลก ๆ คนโสดที่ขาดคู่ปรึกษาที่จริงใจ บางครั้งเครยีดหรืออาจมาจากความบกพร่องหรือความไม่รู็ด้านจิตวิทยาชอบใช้เวลาว่างไปทำสิ่งที่ไม่ดีงามไม่เหมาะสมโดยที่ไม่รู็จักใช้เวลาว่างเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์หรืออาจจะตีความหมายของคำว่าเวลาว่างผิดไป ซึ่งเวลาว่างหรือเวลาอิสระ หมายถึง เวลาที่ใช้นอกเหนืองานประจำ งานธุรกิจและงานบ้าน เป็นเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่จำเป็น เช่น การรับประทานอาหาร การนอน และกิจกรรมที่ต้องทำ เช่น การศึกษ ปกติแล้วเราควรมีเวลามากขึ้น มีการถกเถียงเกี่ยวกับเวลาว่าง เราควรมีเวลาว่างวันละ 45 นาที เหตุที่เรารู้สึกว่าเราควรมีเวลาว่างขึ้น อาจเป็นเพราะเราเสียเวลาครึ่งหนึ่งของเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เช่น ดูทีวี ดูหนัง ดูรายการโชว์ต่าง ๆ และบางครั้งหากคุณใช้เวลาว่างในการดูหนัง อาจจะเสียเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นหากคุณต้องการมีเวลาว่างขึ้นก็หยุดทำกิจกรรมเหล่านี้เสียแล้วนำเวลาว่างนั้นมาใช้ทำกิจกรรมให้เกิดประโยชน์ดีกว่า ตัวดิฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก วันจันทร์ถึงวันศุกร์เรียน พอตกเย็นวันศุกร์กลับบ้านมา เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องตื่นไปช่วยพ่อแม่ทำงาน เช้าสวน ทำงานบ้านต่าง ๆ นาๆ แต่เนื่องด้วยการเรียนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจึงต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู็เสมอ ดังนั้นหลังจากที่ทำงานแล้ว ดิฉันได้ใช้เวลาว่างมาศึกษาเพิ่มเพติมเกี่ยวกับภาษา พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้เก่งขึ้น แต่ดิฉันก็ไม่ใช่คนรักการอ่านมากมายอะไร จะให้หมกหมุ่นอยู่กับการเรียน ต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาก็คงไม่ใช่ ดิฉันจึงเลือกใช้เวลาว่างมาเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ได้ความรู้ด้วย
          ดิฉันเลือกที่จะพัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองโดยการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ปกติทั่วไป ในระหว่างวันที่ 13-19 ตุลาคม ดิฉันได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง นอน คุยโทรศัพท์ ดูทีวี เล่นอินเตอร์เน็ต ทั่วไป ไม่มีการเรียนพิเศษหรืออย่างใดเลย แต่สอดแทรก รู้วิธีการเรียนและสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษโดยวันที่ 13 ตุลาคม ดิฉันได้ทำการบ้านรายวิชา การเขียน (paragraph writing) ได้ฝึกเขียน definition paragraph โดยทำ outline และเขียน   paragraph ในหัวข้อ Love ดิฉันได้ให้ความหมายที่หาจากอินเตอร์เน็ตและให้ความหมายจากความเข้าใจของตัวเองด้วย หลังจากที่เขียนนิยามของ Love เสร็จแล้ว ดิฉันได้ศึกษาวิธีการเขียน process paragraph เพื่อที่จะเป็นความรู้ก่อนเรียนในคาบ เมื่อเสร็จจากวิชาการเขียนแล้ว ดิฉันได้ทำการบ้านวิชาการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ได้ทำ Adobe Captivate 8 สื่อการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง Abstract Noun ดิฉันได้ศึกษาข้อมูล ความหมาย ชนิดและประเภท วิธีการใช้ การเปลี่ยนรูปจาก Verb ให้เป็น abstract ซึ่งการเปลี่ยนรูปมีทั้งหมดกี่แบบ อะไรบ้าง อย่างไรนั้น ดิฉันได้บันทึกข้อมูลและทำสื่อการสอนไปแล้ว หลังจากที่ศึกษาข้อมูลเรื่อง Abstract Noun เสร็จแล้วนั้น  ดิฉันได้เล่น Facebook แล้วได่เข้าไปในเพจ เก่งอังกฤษจากสำนวนภาษาอังกฤษ  ในเพจนี้มีสำนวนมากให้ศึกษา เช่น Grin and bear it ยิ้มสู้โชคชะตา Easy is pie ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก One bad apple ปลาเน่าตัวเดียว ทำเหม็นทั้งข้อง Castle is Spain วาดวิมานในฝัน  Blue moonshine เรื่องเหลวไหล เรื่องพิเศษ a cat and a dog life ขมิ้นกับปูน เป็นต้น จากการศึกษาสำนวนภาษาอังกฤษนี้ ทำให้ดิฉันสามารถนำสำนวนไปพูดได้อย่างถูกต้อง 
          ในวันที่ 14 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษจากการเล่น Facebook โดยเข้าไปในเพจ ฝึกอังกฤษให้แข็งแรง เป็นเพจสอนภาษาอังกฤษใน Facebook  จะมีเรื่องราวต่าง ๆ มีเนื้อหาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เรื่องที่ดิฉันได้อ่านคือ Shoe Style คือ แบบรองเท้า จะมีลักษณะต่าง ๆ ของรองเท้า เช่น Flat = แบน flat heel ส้นเตี้ย flats รองเท้าส้นเตี้ย heel แปลตรง ๆ คือ ส่วนที่เป็นส้นของรองเท้า  high hell ส้นสูง heels รองเท้าส้นสูง  platform  ส้นตึก platform shoe รองเท้าส้นตึกพื้นราบทั้งส้น platform heels รองเท้าส้นสูงทรงตึก wedge ทรงเตารีด wedges รองเ้าทรงเตารีด wedge heel รองเท้าทรงเตารีด slingback แบบรัดส้ม  slingback flats รองเท้าส้นเตี้ยรัดส้น slingback heels รองเท้าส้นสูงรัดส้น จากการศึกษาทำให้ทราบลักษณะต่าง ๆ ของรองเท้าและรู้ว่าภาษาอังกฤษเขียนอย่างไร หลังจากนั้นดิฉันได้อ่านบทความจากเพจเรื่อง Hair style หรือ ทรงผม นั้นเอง จะมีภาษาอังกฤษบอกแบบผมต่าง ๆ เช่น 
ผมบ๊อบ       bob                      ผมหน้าม้า     bangs                              หน้าม้าสั้น       short bangs 
หน้าม้ายาว  long bangs          ผมหางม้า      ponytail                          ผมเปีย            braid (s)           
แสกกลาง    middle part         แสกขวา       right part                         แสกซ้าย        left part
ผมผูกแกละ    pigtails            เป็นต้น  และมีประโยค Most people part their hair on the left หมายถึง คนส่วนมากแสกผมด้านซ้าย Should i part my hair in the middle แปลว่า ฉันควรทำผมแสกกลางมัํย จากการศึกษาสามารถนำคำบอกลักษณะไปตอบและพูดคุยได้เมื่อพูดเกี่ยวกับทรงผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าใกล้ตัวเรามาก 
         ในวันที่ 15 ตุลาคม ดิฉันได้เรียนวิชาการสร้างแบบทดสอบและการประเมินผลทางภาษาของอาจารย์ทิพวรรณ ทองขุนดำ และได้รับมอบหมายให้สร้างแบบทดสอบเรื่อง some ,any ,a few ,a little of , much , many , uncountable noun , countable noun, plural และ  verb to be  ซึ่งดิฉันได้หาข้อมูลเรื่อวเหล่านี้เพื่อทำข้อสอบได้ถูกต้องและสามารถออกข้อสอบได้ จากการศึกษาทำให้รู้ว่า some และ  any ใช้เพื่อกล่าวถึงจำนวนที่ไม่จำเพราะเจาะจง (indefinite quantity) โดยปกตแล้วมักใช้ Some ในประโยคบอกเล่า และใช้ any ในประโยคปฎิเสธและคำถาม ตัวอย่างเช่น 
                      ประโยคบอกเล่า : There are some birds in the tree.
                      ประโยคปฏิเสธ : There aren't any birds in the tree.
                      ประโยคคำถาม : Are there any birds in the tree.
แต่บ่อยครั้งที่เราสามารถใช้คำว่า some ในประโยคคำถามที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ นั่นคือในการขอร้อง การเสนอให้ ทั้ง some และ any ใช้วางหน้าคำนามนับไม่ได้และหน้านามนับได้พหูพจน์ หรืออาจจะใช้โดยไม่มีคำนำหน้าตามหลังก็ได้ แต่ต้องพูดถึงคำนามนั้นมาก่อนหน้าแล้ว 
คำที่ดิฉันได้รับมอบหมายให้ออกข้อสอบนั้นเป็นคำบอกปริมาณ Quantity words คือคำหรือกลุ่มคำที่แสดงความมากน้อยของนาม ใช้ใส่หน้าคำนาม เช่น some - any = มีบ้าง -  few - a few พอมีอยู่บ้าง little - a little = มีน้อย much - many - a lot of = มาก a lot of some - any some ใช้นำหน้าคำนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) และคำนามพหูพจน์ โดยเฉพาะประโยคบอกเล่า  
-  Any ใช้นำหน้าคำนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) และคำนามพหูพจน์ แต่ใช้ในประโยคคำถามและปฏิเสธ 
-  Little - a little แปลว่าน้อย เช่นเดียวกับ few - a few แต่ทั้งสองคำนี้ใช้กับคำนามที่นับไม่ได้ 
-  Little แปลว่า น้อยมาก แทบไม่มีเลย เป็นความหมายในเชิงปฎิเสธ
-  a little มีความหมายว่า มีนิดหน่อย แต่ก็พอเพียง
-  much - many คำว่า much ใช้ประกอบ uncountable noun ส่วน many ใช้กับคำนามนับได้ countable noun คำพหูพจน์ เช่น many men , many houses , many doctors เป็นต้น
-  Lots of - a lot of แปลว่า มีมาก ใช้ประกอบคำนามที่นับไม่ได้และคำพหูพจน์ มักใช้ในประโยคบอกเล่า 
-  Few - a few แปลว่า น้อย ใช้ประกอบคำนามนับได้พหูพจน์ few มีความหมายว่า น้อยมาก แทบไม่มีเลย เป็นความหมายเชิงปฏิเสธ ส่วน a few แปลว่าน้อย แต่หมายถึง จะมีน้อยแต่ก็เพียงพอ
จากการศึกษาทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ในการออกสอบได้ตามความเข้าใจ
           ในวันที่ 16 ตุลาคม ดิฉันได้กลับบ้านมา แน่นอนว่า เมื่อกลับบ้านนั้น ก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เล่น ดิฉันจึงเลือกที่จะสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวภายในบ้าน เป็นภาษาอังกฤษ ดิฉันเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการเปิดเพลงภาษาอังกฤษ เปิดทิ้งไว้ตลอดระหว่างที่ทำงาน โดยเพลงที่เปิดนั้นมีเพียง 20 - 30 เพลง เท่านั้น และตั้งค่าให้เล่นเพลงซ้ำ ทำให้ดิฉันได่ฟังเพลงเหล่านั้นตลอดเวลาที่ทำงาน ดิฉันเชื่อว่า สมองคนเราสามารถเรียนรู้ได้แม้กระทั่งเวลาที่เราไม่สนใจ เรื่องบางอย่างต้องใช้วิธีซึมจะช่วยได้มาก เช่น เรื่องสำเนียง เราจะคุ้นกับสำเนียงการออกเสียงจากชาวต่างชาติในเพลง เมื่อเราร้องตามก็สามารถทำให้เราร้องตามสำเนียงนั้นได้อย่างไพเราะ ช่วยฝึกทักษะการฟัง เราจะได้ยินเพลงตลอดเวลา และก่อนที่จะร้องได้ก็ต้องฟังเเละเข้าใจเนื้อเพลงนั้นอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้น ดิฉันได้สร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษโดยการใล้ post it notes ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบทสนทนา และหน้าบ้านกับห้องนั่งเล่นติดเป็นคำศัพท์และยทสนทนาควบคู่กันรอบ ๆ บ้าน เมื่อดิฉันเดินผ่านหรือไปหยิบใช้สิ่งของเหล่านั้นก็ได้อ่าน post it notes ที่แปะเอาไว้โดยไม่เสียงานและเกิดการเรียนรู้อีกด้วย
หลังจากที่ทำงานบ้านเสร็จแล้ว ดิฉันได้ตั้งค่าโทรศัพท์มือถือเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษ และในตอนค่ำ ดิฉันได้ฝึกทักษาะการแปลโดยการแปลหนังสือภาษาอังกฤษ เรื่อง Huckleberry Finn ซึ่งเป็นงานแปลในรายวิชาการแปล ก่อนการแปลนั้นดิฉันได้หาคำศัพท์ยากพร้อมทั้งหาความหมาย เพื่อนำมาแปลอย่างรวดเร็ว หากรู้ความหมายของศัพท์หมดแล้ว จะแปลง่ายและเร็วขึ้น คำศัพท์ที่ยังไม่รู้และได้หาความหมายนั้นได้แก่คำว่า comfortable แปลว่า เพียงพอ มั่งคั่ง สะดวกสบาย , jude แปลว่า ผู้ตัดสิน ผู้พิพากษา คาดคะเน , pleased แปลว่า พอใจ , decided แปลว่า เห็นชัด ตัดสินใจ ,escape แปลว่า หนี , canoe แปลว่า เรื่อแคนู ,immediately แปลว่า โดยทันทีทันใด , lucky แปลว่า โชคดี ,carried แปลว่า ที่ขนส่งไป , คำว่า axe แปลว่า ขวาน และคำอื่น ๆ ที่ไม่รู้ความหมาย หลังจากหาคำศัพท์แล้วดิฉันได้เริ่มแปลอย่างจิงจรัง ทำให้เข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็นตอน ๆ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดมื่อแปลทำให้รู้สึกว่าเนื้อหาก็สนุก น่าสนใจดี คำศัพท์ในเรื่องก็มีศัพท์ยากเพียวเล็กน้อย ไม่ยากเกินไป เนื้อเรื่องเป็นการผจญภัยของฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ โดยเรื่องที่อ่าน ตอนที่ สอง huck escapes and finds a friend เนื้องเรื่องเป็นการหนีและการพบเพื่อนใหม่ เรื่องรางน่าตื่นเต้นและสนัก ทำให้ดิฉันอ่านแล้วรู้สึกได้ถึงการผจญภัยนั้น 
          ในวันที่ 17 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยการฟังไฟล์เสียงจากเว็บไซต์ soundcloud.com ได้แก่ :http://soundcloud.com/seach?q=+7 เรื่อง Fast furious 7 เป็นเพลงประกอบภาพยนต์และไฟล์เสียงต่าง ๆ ในเนื้อเรื่อง มี playlist ให้เลือกว่าต้องการฟังไฟล์ไหน และจะมีไฟล์เพลงสากลมากมายหบานศิลปิน หลากหลายแนงเพลง มีมากกว่า 500 playlist และจะบอกแนวเพลงให้เรารู้ด้วยว่าเป็นเพลงแนวไหน ทำให้ง่ายและตรงต่อความต้องการ หลังจากนั้นได้ฟังจากเว็บไซต์ www.rong-chang.com/easykids/ เรื่อง birthday cake and candles จากการฟังในครั้งนี้ ำให้ดิฉันจับใจความได้ว่า It is her birthday she is six year old. She looks at the birthday cake. It has white icing.There are six candles kn tops. Hem mom and dad sing happy birthday.Her dad light the candles. She makes a wish. She blows out the candles. She claps her hands. Her mom and dad crap their hands. เหตุที่ดิฉันฟังรู้เรื่องและจับใจความได้นั้นเป็นเพราะบทความนี้ง่ายและพูดช้า ง่ายต่อการเข้าใจ คำศัพท์ในเนื้อความก็เป็นศัพท์ง่าย ทำให้ดิฉันเข้าใจบทความนี้ได้อย่างง่ายและชัดเจน

          ดิฉันได้ฝึกการอ่านและพัฒนาคำศัพท์จากการอ่านหนังสือ เรื่อง จำศัพท์เจ๋ง เก่งอย่างเทพด้วย mind mapping มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จีน ไทย มากกว่า 2000 คำ จาก 7 หมวด ดิฉันได้อ่านคำศัพท์เรื่อง food เกี่ยวกับผลไม้ บรรเทาอาการเจ็บคอ relieve one's sore throat มีผลไม้จำพวก star fruit มะเฟือง pear ลูกแพร์ fig haw บ๊วยจีน ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน sweet and sour ได้แก่ grape องุ่น litchi lychee ลิ้นจี่ longan ลำไย mangoes teen มังคุด passion fruit เสาวรส persimmon ลูกพลับ peach ลูกพีช plum ลูกพลัม apricot แอพริคอต date อินทผลัม ผลไม้ที่ต้องปลอกเปลือก peel แปลว่า เปลือก rind แปลว่า เปลือกผลไม้ sugarcane อ้อย durain ทุเรียน jack fruit ขนุน มีเมล็ด seed ได้แก่ cantaloupe แคนตาลูป papaya มะละกอ guava ฝรั่ง kiwi ผลกีวี pit เปลือกแข็งหุ้มเมล็ด avocado อะโวคาโด mango มะม่วง wax apple ชมพู่ และประเภทสุดท้ายที่ได้อ่านและฝึกท่องจำได้แก่ ผลไม้ประเภทเบอรี่ ได้แก่ cranberry แคลนเบอรี่ raspberry ราสเบอรี่ mulberry ลูกหม่อน strawberry สตอร์วเบอรี่ blueberry บลูเบอรี่ จากการฝึกทักษะในการอ่านคำศัพท์นี้ทำให้รู้คำศัพท์เกี่ยวกับผลไม้ต่าง ๆ มากกว่า 20 ชนิด เมื่อเห็นผลไม้เหล่านั้น ฉันก็สามารถพูดและบอกชื่อผลไม้นั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษได้ 

          หลังจากนั้น ดิฉันได้ฟังเพลงภาษาอังกฤษหลายเพลง สนใจฟังบ้าง ไม่สนใจบ้าง และเพลงที่ฉันสนใจฟังและพอเข้าใจเนื้อเพลงได้แก่เพลง I don't like to sleep alone ของศิลปิน Paul  Anka ดิฉันได้ฟังเพลงและลองแปลเนื้อเพลงตามความเข้าใจได้ว่า ชื่อเพลง แปลว่าฉันไม่ชอบนอนคนเดียว โดยใช้สำนวน like to แปลว่า ชอบ และมี don't แปลว่า ไม่ รวมกันเป็นไม่ชอบ จากในเนื้อเพลงมีบางประโยคที่ดิฉันจำได้เป็นประโยคที่เกี่ยวกับคนมีความรัก ได้แก่ประโยคที่ว่า  stay with me,don't go แปลว่า อยู๋กับฉันนะ อย่าไปไหน , Talk with me for just a while แปลว่า คุยกันหน่อยนะเดีย๋ยวเดียวก็ยังดี ,So much of you to get to know ยังมีอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองที่ฉันจะต้องรู้ , Reading out touching แปลว่า เอื้อมมือออกไปตะกายหา แล้วก็ได้สัมผัสตัวเธอ, leaving all the worries all behind แปลว่า ทิ้งความกังวลใจทั้งหลายทั้งปวงไว้ข้างหลังให้หมด,loving you , the way i do แปลว่า การที่ได้รักเธอตามแบบที่ฉันรักอยู่นั้น , my mouth on your and your on mine แปลว่า ริมฝีปาของเธออยู่บนริใฝีปากของฉันและริมฝีปากของฉันก็อยู่บนริมฝีปากของเธอ  marry me or let me live with you แปลว่า แต่งงานกับฉันเถอะ หรือไม่ก็ให้ฉันอยู๋ด้วยคนนะ nothing's wrong when love is right ไม่มีอะไรผิดหรอกเมื่อความรักมันถูก loneliness can get you down ความเปล่าเปลี่ยวทำให้คุณเศร้าได้นะ จากเพลงนี้มีประโยคมากมายที่เกี่ยวกับความรักและชีวิตมนุษย์ ทำให้เมื่อลองแปลแล้วได้ข้อคิดดีๆแฃะเตือนใจได้เยอะ

          หลังจากนั้นดิฉันได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง Phrase เพื่อใช้ในการแต่ง Paragraph จากการศึกษาทำให้ทราบว่า  Phrase (วลี)  คือกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียงกันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค เช่น เป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้ประกอบด้วยทั้งภาคประธานและภาคแสดง วลีแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
      1. นามวลี (noun phrase) จะมีคำนามเป็นหลัก เช่น women with long hair  
               โครงสร้างของ noun phrase 
คำหลักใน noun phrase คือ คำนามหรือคำสรรพนาม โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
· คำกำกับนามและคำนาม       เช่น these houses
· คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม และคำนาม     เช่น these big houses
· คำนามและส่วนขยายหลังคำนาม     เช่น houses made of wood
· คำกำกับนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม   เช่น some houses made of wood
· ส่วนขยายหน้าคำนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม  เช่น big houses made of wood
· คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม  เช่น some big houses made of wood
ขอให้สังเกตว่า noun phrase มักมีคำกำกับนามและส่วนขยายเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยส่วนขยายส่วนมากจะเป็นคำคุณศัพท์ ในการใช้คำคุณศัพท์และคำนามขยายคำนามหลัก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ลำดับตำแหน่งของคำขยายเหล่านั้นเมื่อนำมาวางไว้ข้างหน้าคำนามหลัก โดยทั่วไปคำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายคำนามจะมีเพียงสองสามคำ แต่บางครั้งอาจมีส่วนขยายได้หลากหลาย โดยมีลำดับของคำคุณศัพท์และคำนามขยายหน้าคำนามหลักดังนี้

คำกำกับนาม
(determiner)
ความรู้สึก หรือความคิดเห็น
(feeling/opinion)
ขนาด หรือ รูปร่าง
size/shape
อายุ
(age)
สี
(color)
ต้นกำเนิด  หรือที่มา
(origin)
วัสดุ
(material)
คำนามหลัก
(head noun)
a
practical
small
old
-
German
-
knife
that
-
big
new
brown
-
plastic
bag
this
beautiful
long
-
black
Japanese
nylon
umbrella

อย่างไรก็ตาม การเรียงลำดับคำคุณศัพท์หน้าคำนามหลัก อาจผิดไปจากลำดับที่กล่าวไว้ในที่นี้ได้ โดยวางคำที่ต้องการเน้นไว้ใกล้คำนามหลักมากกว่า เช่น
a sick young boy (เด็กน้อยที่มีอาการเจ็บป่วย)
a young sick boy (เด็กคนป่วยที่ยังมีอายุน้อย)
  

         หน้าที่ของ noun phrase นามวลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำนาม เช่น

-  เป็นประธาน เช่น   All the passengers were safe.
-  เป็นกรรม เช่น  We really enjoyed the food at that restaurant.
- เป็นกรรมตรงและกรรมรอง เช่น  The manager gave all of us (กรรมรอง) a double raise. (กรรมตรง)
-  เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น The clock was a Christmas present from the ABC Company.
-  เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น  We considered Mr. Johnson the best employee.
-  เป็นกรรมของบุพบท เช่น  The box of chocolates is intended for your children.
-  เป็นส่วนขยายคำนามอื่น เช่น  John suffers from back problems. 
 - เป็นกริยาวิเศษณ์ เช่น  School starts next month.


     2. กริยาวลี (verb phrase)   ประกอบด้วย main verb (กริยาแท้) และ auxiliary verb (กริยาช่วย) ใน verb phrase หนึ่ง ๆ อาจมีกริยาช่วยมากกว่า 1 คำ ตัวอย่าง

· Jane will work on a night shift.
  (will work เป็น verb phrase ซึ่งมี work เป็นกริยาแท้ และ will เป็นกริยาช่วย) 
· Jane will be working on a night shift next week.
  (will be working เป็น verb phrase ซึ่งมี working เป็นกริยาแท้ ส่วน will และ be เป็นกริยาช่วย) 

verb phrase ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยา คือ บอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทำอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับประธานของประโยค

     3. คุณศัพท์วลี (adjective phrase)

                โครงสร้างของ adjective phrase   adjective phrase ประกอบด้วยคำคุณศัพท์กับส่วนขยายคำคุณศัพท์ ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ และประเภทที่อยู่หลังคำคุณศัพท์ โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์  เช่น very happy
· คำคุณศัพท์และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์  เช่น happy to see you
 ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ คุณศัพท์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์  เช่น very happy to see you

          หน้าที่ของ adjective phrase คุณศัพท์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำคุณศัพท์ เช่น

- ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น   Highly sensitive people are hard to deal with.
-  ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น   The children are very happy to see their parents.
- ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น  The teachers made us aware of the importance of the entrance exams.
- ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม โดยอยู่ข้างหลังคำสรรพนามที่ถูกขยาย เช่น  I want to eat something very spicy.

4. กริยาวิเศษณ์วลี (adverb phrase)

       โครงสร้างของ adverb phrase     adverb phrase ประกอบด้วยคำกริยาวิเศษณ์กับส่วนขยาย ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่ข้างหน้าและประเภทที่อยู่ข้างหลังคำกริยาวิเศษณ์ โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้

· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์ และคำกริยาวิเศษณ์    เช่น very quickly
· คำกริยาวิเศษณ์ ละส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์   เช่น quickly indeed
· ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์ คำกริยาวิเศษณ์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์  เช่น very quickly indeed

        หน้าที่ของ adverb phrase กริยาวิเศษณ์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยาวิเศษณ์ ดังนี้

-   ทำหน้าที่ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่น เช่น 
             Henry walked extremely quickly.
            These umbrellas are very beautifully made.

-  ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น  Surprisingly indeed, everybody survived in the car accident.

5. บุพบทวลี (prepositional phrase)

          โครงสร้างของ prepositional phrase  ประกอบด้วยคำบุพบทและส่วนเสริม (complement) ซึ่งตำราบางเล่มจะเรียกว่า กรรมของบุพบท ส่วนเสริมมี 3 ประเภทคือ

· ส่วนเสริมที่เป็น noun phrase   เช่น through the back door
· ส่วนเสริมที่เป็น noun clause       เช่น from what I have heard
· ส่วนเสริมที่อยู่ในรูปกริยาเติม (v–ing)       เช่น after speaking to you

      หน้าที่ของ prepositional phrase บุพบทวลีทำหน้าที่ดังต่อไปนี้

-   ทำหน้าที่ขยายประธานของประโยค โดยอยู่ตามหลังกริยา BE หรือกริยาเชื่อม (linking verb) เช่น
Mr. Johnson is in the meeting room.

-  ทำหน้าที่ขยาย noun phrase โดยอยู่ในตำแหน่งหลัง noun phrase ที่ถูกขยาย เช่น  

   Jane took a course in advanced mathematics.    
   Kate bought a house with a beautiful garden.

-    ทำหน้าที่ขยายคำคุณศัพท์ โดยอยู่ในตำแหน่งหลังคำคุณศัพท์ที่ถูกขยาย เช่น
   They are aware of the danger of the AIDS virus.
   I am happy with what I have.

-  ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น
    In fact, the economy is improving.  
    In my opinion, people are basically good.

หลังจากที่ดิฉันศึกษาเรื่อง Phrase และประเภทต่าง ๆ ของ Phrase ทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนรู้แต่เข้าใจไม่ชัดเจน ตอนนี้คิดว่ารู็และเกิดความเข้าใจพอสมควรสามารถนำความรู้จากการศึกษาไปใช้ต่อยอดความรู้ในงานเขียนและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง  Phrase หรือประโยคต่าง ๆ ได้ถูกต้อง

          ในวันที่ 18 ตุลาคม ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยฟังจากเว็บไซต์ฝึกทักษะการฟัง http://www.listenaminute.com/ในเว็บไซต์นี้จะมีบทเรียนเรียงตามพยัญชนั A-Z มีจำนวนโดยรวมแล้วประมาณเกือบ 500 บทเรียน ดิฉันได้เลือกฟังเรื่อง Chocolate เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับช็อคโกแลต สำเนียงการพูดช้า ง่ายต่อการฟัง และคำศัพท์พื้นฐานส่วนใหญ่ จากการฟังทำให้ดิฉันเข้าใจบทเรียนและนำมาทำแบบฝึกหัดทบทวนได้ โดยฟังเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ทำแบบฝึกจาก 20 ข้อ ดิฉันทำภูก 16 ข้อเรื่องที่สองที่ฟัง คือ I love you เป็ยบทเรียนที่พูดค่อนข้างเร็ว และสำเนียงการพูดฟังยาก ทำให้ดิฉันต้องมาอ่าน Transcript ด้านล่างอีกทีว่าบทเรียนนี้พูดถึงอะไรบ้าง แต่เมื่ออ่านเสร็จแล้วกลับไปฟังอีก 2 รอบ ทำให้เกิดความเข้าใจมากกว่าฟังครั้งแรก และเมื่อฟังจบ ดิฉันได้ลองทำแบบฝึกหัดผลปรากฏว่า ทำได้เพียง 9 ข้อ ทำให้รู้ว่าหากสำเนียงการพูดเร็วเกินไป จะทำให้เราจำไม่ได้และเกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟังแม้จะได้อ่านแล้วก็ตาม
          หลังจากนั้นดิฉันได้เล่นเกมส์คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ http;//www.kengpasa.com/games/games.asp. มีเกมส์ 20 รูปแบบให้เลือกเล่น ดิฉันเลือกเล่นเกมส์จำนวน 4 เกมส์  คือ เกมส์ที่ 1 เกี่ยวกับเรื่อง past tense ให้เลือกคำทางซ้านมือที่เป็น verb ช่อง 2  ของกริยาทางขวามือแล้วลากมาต่อกัน ชุดคำถามมีจำนวน 10 ข้อ ดิฉันทำได้คะแนนเต็ม 10 คะแนน เกมส์ที่สองที่ดิฉันเล่นคือ Homophone เลือกคำตอบจากซ้ายมือที่ออกเสียงเหมือนกันกับทางขวามือมาต่อกัน เมื่อครบแล้วคะแนนออกมา ซึ่งทำให้ดิฉันได้คะแนนเต็ฒอีกครั้ง เกมส์ที่สาม ได้เลือกเล่นได้แก่เกมส์ Opposite ให้เลือกคำทางซ้ายมือที่มีความหมายตรงข้ามกับทางขวามือมาต่อกัน ดิฉันทำได้ 10 คะแนนเหมือนกัน จากการเล่นเกมส์ในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้ทบทวนคำศัพท์แต่ไม่สามรถเพิ่มคำศัพท์ได้ เนื่องจากในเกมส์เป็นคำศํพท์พื้นฐานง่าย ๆ ที่ดิฉันรู้อยู่แล้ว จึงทำให้สามารถเล่นเกมส์ได้อบ่างไม่ติดขัด ดังนั้นดิฉันควรเล่นเกมส์ที่มีคำศัพท์ยากกว่านี้ เพื่อที่จะสามารถทบทวนคำศัพท์เก่า ๆ และเกิดการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นดิฉันจึงเปลี่ยนจากการเล่นเกมส์ไปฝึกทักษะอื่น
          ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนและทบทวนคำศัพท์จาก http;//www.kengpasa.com/excercise/write/wrire05.asp เป็นแบบฝึกหัดเขียนคำให้ถูกต้อง โดยดูความหมายของคำจากด้ายซ้ายมือแล้วเขียนภาษาอังกฤษในช่องว่างให้ถูกต้อง มีจำนวน 10 ข้อ โดยมีคำว่า ประเภท ของบ่าย ห้องแสดงผลงาน ที่นั่งเล่นชั้นบน เฉลียว ตรง ตรงไป จุดแข็. กำลัง ความเข้มเเข็. ความอ่อนแอ ความไม่แข็งแรง โอกาส จังหวะ อุปสรรคการควบคุม สะดวก ขายส่ง ขนาาดใหญ่ และคำว่า สำรวจ สังเกต มองโดยรอบ โดยที่คำศัพท์ทุกคำจะทีคำอ่านภาษาอังกฤษไว้ให้เราผสมคำแล้วด้วยนั้น ทำให้สะดวกในการสะกดคำ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเนื่องจากตัวดิฉันเป็นคนที่ไม่มีคลังคำศัพท์มีความรู้เรื่องคำศัพท์น้อยทำให่เข้าใจบทเรียนยาก แต่ก็พยายามลองสะสมคำศัพท์ดู ทำให้สะสมคำได้เพียง 5 คำเท่านั้น จึงรู้เลยว่าตนเองนั้นจำเป็นต้องรู้คำศัพท์มากกว่านี้ เพราะคำศัพท์คือสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งในภาษาอังกฤษ หากเราใช้คำผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนไปทันที
          ดิฉันจึงเลือกฝึกคำศัพท์จาก http;//www.freerice/com#/english-vocabulary/1694 โดยในเว็บไซต์นี้จะมีเป็บแบบทดสอบคำศัพท์ จำนวน 60 ข้อ  ในข้อสอบจะให้คำศัพท์มาหนึ่งคำแล้วให้เลือกความหมายที่เป็นภาษาอังกฤษเช่นัน จำนวน 4 ตัวเลือก ซึ่งจาก 60 ข้อนั้นดิฉันทำได้เพียง 39 ข้อ ข้อไหนที่ทำผิดเราจะกลับมาทำใหม่ในตอนสุดท้ายและหากผิดอีกทางเว็บไซต์ก็จะโชว์คำตอบที่ถูกต้องมาให้และทำข้อต่อไปอีก เมื่อทำจบแล้วคำศัพท์ก็จะเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ตาม level ของคำศัพท์ที่เราเล่นไป ซึ่งทั้งหมดนั้นมีจำนวน 60 level เราสามารถเลือกเล่นและทดสอบได้ตามระดับความรู้ทางคำศัพท์ของเราที่ถนัดเลยได้เลย หลังจากที่ทดสอบคำศัพท์ level 1 เสร็จแล้ว ดิฉะนได้เปลี่ยนมาทดสอบความรู้ด้าน ไวยากรณ์ ซึ่งจะมีทั้งหมด 50 level ให้เลือกตามความถนัดและความสามารถของผู้ทดสอบ ดิฉันลองทำแบบทดสอบเรื่อง Grammar จำนวน 10 ข้อ หรือ ๅ ชุด ผลปรากฏว่า ถูกต้องเพียง 4 ข้อเท่านั้น ทำให้รู้เลยว่านอกจากอ่อเรื่องคำศัพท์แล้วในส่วนของไวยากรณ์ ดิฉันก็ยังอ่อน ยังมีความรู้ไม่แน่นมากพอที่จะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นดิฉันจำเป็นต้องฝึกสะสมคำศัพท์และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไวยากรณ์ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
          ในวันที่ 19 ตุลาคม ดิฉันได้ดูหนังเรื่อง Home alone 2 ในรายวิชาภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ของอาจารย์ Charles M Fisher ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เกี่ยววันคริสต์มาส ซึ่งดิฉันกำลังเรียนเรื่องนี้อยู่พอดี โดยอาจารย์ให้ดูหนัง แล้วให้ดูว่าในวันคริสต์มาสนั้นเขาจะทำอะไรกันบา้ง วัฒนธรรมประเพณีของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็มีครบทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมของชาวต่างชาติจริง ๆ จากที่ดูมาแล้้วสามารถสรุปตามความเข้าใจได้ว่า ในเมือง นิวยอร์ค จะมีครอบครัวของ Kavin เลี้ยงฉลองเทศกาลคริสต์มาสอย่างสนุกสนาน จนกระทั่ง Kavinได้ผลัก Buzz แล้วทำให้เกดความวุ่นวายในงาน แม่ของ Kavin จึงพา Kavin ไปขังไว้ในห้อง พอเช้ามาทุกคนตื่นสาวยและรีบไปสนามบินจนลืม Kavin ไว้ที่บ้านคนเดียว ในระหว่างที่ครอบครัวของเขาไปต่างประเทศ มียามที่เป็นโจรพยายามมาขโมยของที่บ้านของ Kavin ทำให้เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับโจร ทำให้เกิดความสนุกสนานในหารชม  ที่เด็กตัวเล็ก ๆ อายุเพียง ค ขวบ สามารถทะอะไรที่ผู้ใหญ่ทำไม่ได้หลาย ๆ อย่าง จนกระทั่งโจรนั้นถูกตำรวจจับตัวไป และปัญหาที่เขากลัวเพื่อนบ้านของเขาก็หมดสิ้นไปเพราะลุงคนนั้นต้องการแค่ให้ลูกของเขากลับมาหาแต่ไม่มีการติดต่อหากัน เลยทำให้เขาดูหน้ากลัวเพราะไม่ยิ้มเนื่องจากไม่มีความสุขในชีวิต แต่เมื่อเขาได้คุยกับ Kavin เขาก้ติดต่อกับลูกของเขา จนในวันคริสต์มาส  ลูกของเขาก็กลับมาหา ในขณะที่ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ครอบครัวของ Kavin ก็ได้เดินทางกลับมาเหมือนกัน ทำให้ครอบครัวของเขาได้เลี้ยงฉลองเทศการคริสต์มาสด้วยกันอย่างมีความสุข จากการดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ดิฉันทราบถึงความสำคัญของวันคริสต์มาสและในวันนั้นจะมีการแต่งตัว แต่งสถานที่ อาหารอย่างไร คือ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวันศริสต์มาส นอกจากนั้น ทำให้ฉันเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในการชม มีความสุขมาก อีกทั้งยังได้ข้อคิดดี ๆ อีกด้วย
          จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกทักษะทางภาษาโดยการเรียนรู้และฝึกฝนตามความถนัดและตามความสนใจนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลทันทีทันใดนั้น แต่หากเราหมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ เอาเวลาว่างจากการทำงานมาเรียนรู็ เล่นเกมส์ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองดีกว่านำเอาเวลาว่างเหล่านั้นไปทำอย่างอื่นที่ไร้สาระ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นระจำ จะช่วยให้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะหากฝึกฝนทุกวัน การเรียนภาษาให้เก่งนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ภาษาได้บาอยแค่ไหน หากไม่ได้ทบทวนเป็นเวลานาน ๆ เราก็จะลืมสิ่งที่เรียนไปเมื่อครั้งก่อน ๆ แล้วต้องเริ่มเรียนใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาอีก ดังนั้นเราจึงควรทบทวนบทเรียนบ่อย ๆ และเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ตามความสนใจได้ ดังเช่น ที่ดิฉันได้เรียนรู็ทีหลาหลายวิธี จะทำให้ไม่เกิดความเบื่อหน่าย แต่กลับรู้สึกสนุกสนานในการเรียนรู้อีกด้วย นอกจากสนุกสนานยังได้ความรู้ พัฒนาทักษะต่าง ๆ เกิดคำศัพท์ใหม่ ๆ และข้อคิดดี ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้ จะเห็นได้ว่าการใช้เวลว่างของดิฉันจะเป็นการเรียนรู้และทำงานส่วนใหญ่ มีการเรียนรู้อย่างไม่เต็มที่ หากคุณต้องการที่จะเป็นคนเก่งภาษา เชื่อเถอะคะว่าถึงเวลาที่เรามีจะเท่ากัน แต่อยู่ที่ว่าเราจะว่างและเรียนรู้มากแค่ไหน ยิ่งเวลาว่างมาก หากใช้เวลาเป็น จะเห็นได้ว่าคุณจะเก่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น